- 28 มี.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th/
ภายหลังจากกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53, 137 และจำเลยให้การปฏิเสธขอสู้คดี
โดยเหตุดังกล่าวสืบเนื่องจากกรณีนายสุเทพ ให้สัมภาษณ์วันที่ 22 พฤษภาคม 2554 ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เขตหลักสี่ กทม. ในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2554 พาดพิง นายแพทย์เหวง โตจิราการ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สมาชิกพรรคเพื่อไทย เเละแกนนำ นปช.ทำนองว่าเป็นผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง ส่งผลให้ทั้ง 3 คน เเละพรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหาย
วันนี้ (28 มี.ค.) ศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำกปปส. ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53, 137 โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าที่นายสุเทพ กล่าวข้อความว่าพรรคเพื่อไทยเกี่ยวข้องกับกลุ่ม นปช. นั้นปรากฎข้อเท็จจริงว่าการลงเลือกตั้ง ส.ส. พรรคเพื่อไทยก็จัดแกนนำ นปช. ไว้ในกลุ่มรายชื่อลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ลำดับต้นๆ และได้รับเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ส่วนที่นายสุเทพ กล่าวถึงเหตุการณ์ชุมนุมที่มีการเผาศาลากลางจังหวัด และห้างสรรพสินค้า เมื่อปี 2553 ก็เป็นไปตามรายงานการสอบสวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ขณะที่นายสุเทพ กล่าวก็อยู่ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงรายงานสถานการณ์ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบการกระทำของจำเลยจึงไม่ได้เป็นการกล่าวข้อความอันเป็นเท็จไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ด่วน!!!ศาลยกฟ้อง“สุเทพ”หมิ่น“นปช.เกี่ยวข้อง“เพื่อไทย-ช่วงม็อบชุมนุมมีเผาบ้านเผาเมือง ชี้พูดเรื่องจริง-ตามข้อมูลสอบสวนของ“ดีเอสไอ”
สำหรับที่มาที่ไปของการฟ้องร้องคดีดังกล่าว เป็นกรณีจากคำให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2554 โดยคำพูดตอนหนึ่งระบุว่า “ผมภาวนาว่าพวกที่ทำความผิดทั้งหลายขอให้กรรมตามทันก่อนวันประกาศเลือกตั้ง ”
กล่าวโดยสรุปเป็นการให้ข้อมูลของนายสุเทพในเชิงเปรียบเทียบพฤติกรรมแกนนำนปช.บางคนเมื่อครั้งการชุมนุมปี 2553 เพื่อให้ประชาชนพิจารณาตัดสินใจว่าควรจะเลือกให้บุคคลที่อาจมีส่วนสร้างความเสียหายให้กับประเทศมาเป็นส.ส.หรือไม่??
ขณะที่ประเด็นคำพิพากษาของศาลอาญาในวันนี้ ( 28 มี.ค.) ว่าด้วยคำพิพากษายกฟ้องนายสุเทพ มีข้อพิจารณาว่ามีส่วนสำคัญจากการต่อสู้ในเชิงพยานหลักฐาน เพราะฝ่ายนายจำเลยหรือนายสุเทพ ระบุชัดเจนว่าการพาดพิงฝ่ายโจทก์เป็นผลมาจากการรายงานการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ซึ่งนายสุเทพ อยู่ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและมีหน้าที่รายงานสถานการณ์ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบการกระทำของจำเลย เกี่ยวกับเหตุการณ์ชุมนุมที่มีการเผาศาลากลางจังหวัด และห้างสรรพสินค้า เมื่อปี 2553 การกล่าวข้อความดังกล่าวจึงไม่ถือเป็นเท็จตามฟ้องนั้น และรายละเอียดบางส่วนตามที่ปรากฎอยู่ในสำนวนการสอบสวนของดีเอสและนำไปสู่การฟ้องร้องต่อแกนนำนปช. มีข้อมูลอาทิเช่น
คดีหมายเลขดำที่ อ.2542/ 2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กับพวก ประกอบด้วยแกนนำ และแนวร่วม นปช. รวม 19 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก, ร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปในท้องที่ผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งอัยการยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 11 ส.ค.2553
โดยกรณีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์เมื่อระหว่างวันที่ 28 ก.พ. - 20 พ.ค. 53 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งหมดกับพวกที่ยังหลบหนีไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกับ พล.ต.ขัตติยะ หรือเสธ.แดง อดีตผู้คุณวุฒิ กองทัพบก ซึ่งถึงแก่ความตายแล้ว ได้กระทำความผิดกฎหมาย โดยนายวีระ จำเลยที่ 1 – 11 แกนนำ นปช. ได้ยุยงปลุกปั่นประชนทั่วราชอาณาจักรไทยให้เข้าร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและบังคับขู่เข็ญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้ประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
อ้างว่าเป็นนายกฯโดยมิชอบ พร้อมให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยพวกจำเลยได้ร่วมกันจัดการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหลายหมื่นคนที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถ.ราชดำเนิน ตั้งแต่สี่แยกคอกวัวถึงสี่แยกมิสกวันและถนนพิษณุโลกจากสะพานชมัยมรุเชษฐถึงสี่แยกวังแดง และแยกราชประสงค์ เดินขบวนไปปิดล้อมสถานที่ต่างๆทั้งสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) รัฐสภา กรมทหารราบที่ 22 และบ้านพักของ นายกรัฐมนตรี ซ.สุขุมวิท 31 และมีการใช้อาวุธเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ยิงใส่บ้านพักประชาชน
นอกจากนี้ จำเลยกับพวกยังได้สะสมกำลังพลและอาวุธสงครามร้ายแรง มีการฝึกกำลังคนและฝึกการใช้อาวุธใช้ชื่อกลุ่มนักรบพระเจ้าตาก กลุ่มนักรบโรนิน และกลุ่มนักรบพระองค์ดำ เพื่อการก่อการร้าย สร้างความปั่นป่วนเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน โดยใช้ยานพาหนะเคลื่อนกลุ่มผู้ชุมนุมไปตามถนนในกรุงเทพแบบดาวกระจาย ประมาณ 1 หมื่นคันเศษ สร้างความปั่นป่วนให้เกิดความเสียหายแก่การคมนาคมทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อนเกรงกลัวอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
รวมถึงยังแสดงพฤติการณ์ขัดขวางการใช้ชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน โดยพวกจำเลยและกลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้เลือดจำนวนมากไปเทราดที่หน้าทำเนียบรัฐบาล หน้าพรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักนายกรัฐมนตรี และมีการใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่กองรักษาการณ์ของกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ กระทรวงสาธารณสุขซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยิงใส่กองบัญชาการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยมีทหารได้รับบาดเจ็บ
นอกจากนี้ยังเกิดเหตุการใช้เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ยิงใส่กระทรวงกลาโหม ขว้างระเบิดใส่กรมบังคับคดี, อาคารมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ยิงปืนใส่ธนาคารกรุงเทพ ขว้างระเบิดใส่ประตูทางเข้าทำเนียบรัฐบาล และสถานที่ราชการต่างๆ อันเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของรัฐและผู้อื่น เพื่อบีบบังคับกดดันรัฐบาลให้ทำตามข้อเรียกร้อง
ทำให้ต่อมา เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 53 นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี ได้อาศัยอำนาจตามความใน ม.5 และ 11 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดอื่นๆ ห้ามมิให้ชุมนุมหรือมั่วสุมกันเกิน 5 คน ขึ้นไปหรือกระทำการอันใดเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย, กีดขวางการจราจร,ปิดทางเข้าออกอาคารหรือสถานที่อันเป็นการขัดขวางการปฎิบัติงาน หรือประกอบกิจการหรือการใช้ชีวิตโดยปรกติสุขของประชาชนทั่วไป, ประทุษร้ายหรือใช้กำลังทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหายเกรงกลัวอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินโดยจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรม
และแม้รัฐบาลในขณะนั้นจะสั่งให้ยุติการชุมนุมแล้ว แต่จำเลยกับพวกไม่ยุติ มีการนำกลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าไปที่ทำการรัฐสภาทำร้ายร่างกายทหารและแย่งชิงอาวุธปืนเอ็ม 16 ไป 1 กระบอก, บุกรุกไปในสถานีดาวเทียมไทยคม 2 อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี กระทั่งเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 จำเลยกับพวกและผู้ชุมนุม ได้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฎิบัติการกดดันผู้ชุมนุมเพื่อขอเพื่อที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และแยกราชประสงค์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนสงคราม ระเบิดขว้าง เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่ทหารประชาชน เป็นเหตุให้ พ.อ. ร่มเกล้า ธุวธรรม (ยศในขณะนั้น) และประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก หลังจากนั้นยังมีการลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูงที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อต้องการให้ไฟฟ้าดับทั่วกรุงเทพฯ อันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ
ขณะเดียวกันเมื่อ วันที่ 14 เม.ย.53 จำเลยกับพวกได้ไปรวมตัวชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ปิดเส้นทางการจราจร สร้างเครื่องกีดขวางรอบพื้นที่ชุมนุม โดยดัดแปลงใช้ไม้ไผ่ ไม้ปลายแหลม ยางรถยนต์ปิดกั้นเส้นทางบริเวณแยกศาลาแดง แยกหลังสวน แยกเพลินจิต แยกชิดลม แยกประตูน้ำ แยกปทุมวัน และแยกเฉลิมเผ่า
โดยมีการยิงระเบิดใส่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม และสาขาอื่นๆ และสถานที่ต่างๆไม่น้อยกว่า 50 แห่ง เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวแก่ประชาชนและระบบเศรษฐกิจ วันที่ 28 เม.ย. จำเลยกับพวกยุยงให้ผู้ชุมนุมไปที่ตลาดไท และใช้กำลังประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ทหารที่บริเวณหน้าอนุสรณ์สถานและสนามบินดอนเมือง มีการใช้อาวุธยิงทหารเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 2 คน มีผู้อื่นบาดเจ็บอีก 16 คน และในต่างจังหวัดได้ทำการปิดถนนตั้งด่านตรวจพาหนะ บังคับให้ขบวนรถไฟที่บรรทุกยุทธภัณฑ์ทางทหารไม่ให้เดินทางต่อ
วันที่ 29 เม.ย.จำเลยกับพวกยังได้นำผู้ชุมนุม 200 คน ไปตรวจค้นรพ.จุฬาลงกรณ์ ทำให้แพทย์ พยาบาลไม่สามารถรักษาผู้ป่วยได้ ซึ่งเป็นการชุมนุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความวุ่นวาย นำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ ยุยงให้ประชาชนชุมนุมโดยมิชอบ มีการใช้กำลังขัดขืนต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีเจตนาบิดเบือนให้เกิดการเข้าใจผิดเพื่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่างๆทั่วราชอาณาจักร กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
ท้ายสุดเมื่อ วันที่ 19-20 พ.ค. รัฐบาลได้ดำเนินการกระชับพื้นที่และกดดันให้จำเลยกับพวกผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่และยุติการชุมนุม แต่จำเลยกับพวกมีการสะสมกำลังพลและมีอาวุธสงครามร้ายแรงต่อสู้ขัดขวางใช้ปืนยิงต่อสู้เจ้าพนักงาน และวางเพลิงเผาทรัพย์สินของรัฐและเอกชน เผาห้างสรรพสินค้าและอาคารพาณิชย์ต่างๆทั่วกรุงเทพ เผาศาลากลางและสถานที่ราชการต่างจังหวัดหลายแห่ง เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานยึดอาวุธปืน กระสุน และวัตถุระเบิดซึ่งเป็นของจำเลยกับพวกได้หลายรายการ ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
เหล่านี้ทั้งหมดเป็นข้อมูลเอกสารที่ดีเอสไอรวบรวมเป็นหลักฐานเสนอต่ออัยการเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญากล่าวหาแกนนำแดงนปช. ซึ่งรายละเอียดที่ปรากฏเป็นคำบรรยายสรุปแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์จำเลย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงของนายสุเทพ ซึ่งที่ผ่านมานายสุเทพได้รายงานสถานการณ์ให้ประชาชนทั่วไปได้รับสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ศาลอาญาจึงนำมารับฟังประกอบการพิจารณาพิพากษายกคำฟ้องของฝ่ายโจทก์ ว่าจำเลยไม่ได้มีการกล่าวข้อความอันเป็นเท็จ ???