ด่วน!!!รับกรรมไปอีกราย “ศาลคดีทุจริต”พิพากษาจำคุก“จุฑามาศ”อ่วม50ปี ลูกสาวโดน 44 ปีรับสินบนเทศกาลหนัง สั่งริบทรัพย์คืนแผ่นดินอีก62ล้าน

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร จากการเรียกรับเงินจากนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกา เพื่อให้สิทธิ์ในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นกรณีต่อเนื่องจากคดีอาญาที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลและส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด (อสส.) ส่งฟ้องต่อศาลอาญาแล้วคณะอนุกรรมการไต่สวน ที่มี พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง เป็นประธานฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โดยประสานข้อมูลกับประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่านางจุฑามาศมีทรัพย์สินเป็นเงินฝากในต่างประเทศ 6 ประเทศ คือ ประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ เกาะเจอร์ซีย์ และสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีบุตรสาวเป็นผู้ถือครองแทน รวมทรัพย์สินประมาณ 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 65 ล้านบาท  ป.ป.ช.จึงประสานกับสหรัฐฯเพื่ออายัดทรัพย์พร้อมคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้รัฐไทย ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ.2003 และสนธิสัญญาระหว่างสหรัฐฯกับไทย

ด่วน!!!รับกรรมไปอีกราย “ศาลคดีทุจริต”พิพากษาจำคุก“จุฑามาศ”อ่วม50ปี ลูกสาวโดน 44 ปีรับสินบนเทศกาลหนัง สั่งริบทรัพย์คืนแผ่นดินอีก62ล้าน

       โดยในวันนี้( 29 มี.ค.60) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง  นัดฟังคำพิพากษาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่อัยการฟ้องนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อายุ 70 ปี อดีตผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ นางสาวจิตตโสภา ศิริวรรณ บุตรสาว อายุ 43 ปี ร่วมกันทำผิด พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. 2542 มาตร 12 กรณีเรียกรับ เงิน 60 ล้าน จากสามีและภรรยานักธุรกิจชาวอเมริกัน ในจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ Bangkok film ปี 2546 ซึ่งคดีนี้จำเลยได้รับการประกันตัว และล่าสุดศาลได้มีคำพิพากษาออกมาว่าให้จำคุกนางจุฑามาศ 50ปี ส่วนนางสาวจิตตโสภา จำคุก44ปี พร้อมสั่งให้ริบทรัพย์คืนแผ่นดินอีก 62ล้านบาท

 

       สำหรับคดีนี้ เป็นอีกหนึ่งที่เป็นคดีประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบนข้ามชาติ โดยจุดเริ่มต้นของคดีนี้มาจากกรณีที่ศาลสหรัฐอเมริกาและเอฟบีไอได้ดำเนินคดีตามกฎหมาย FCPA ของสหรัฐฯกับนายเจอรัลด์และนางแพทริเซีย กรีน ในข้อหาให้สินบนนางจุฑามาศ ซึ่งเป็นผู้ว่าการททท.ในขณะนั้น เพื่อให้ได้สิทธิในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ หรือ Bangkok Film Festival ก่อนที่สหรัฐจะดำเนินคดีกับนางจุฑามาศและบุตรสาวว่าสมคบคิดรับสินบนดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2553 โดยศาลสหรัฐอเมริกาพิพากษาให้นายเจอรัลและนางแพตริเซีย มีความผิดและถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน และต้องจ่ายค่าชดใช้ 250,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 8 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2553

ด่วน!!!รับกรรมไปอีกราย “ศาลคดีทุจริต”พิพากษาจำคุก“จุฑามาศ”อ่วม50ปี ลูกสาวโดน 44 ปีรับสินบนเทศกาลหนัง สั่งริบทรัพย์คืนแผ่นดินอีก62ล้าน

 

 

 

       ทั้งนี้หลังถูกดำเนินคดีในต่างประเทศคดีนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เมื่อปี 2554 และได้ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญาต่อนางจุฑามาศ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2554 และส่งสำนวนให้สำนักงานอัยการสูงสุด ก่อนที่อัยการจะมีความเห็นสั่งฟ้องนางจุฑามาศ พร้อมลูกสาว ว่ากระทำผิด พ.รบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มีอัตราโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 20 ปี ตามมติของคณะทำงานร่วม ต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2558

 

       ก่อนหน้านี้ในวันที่ 9 พ.ย. 2558 ที่ผ่านมา นางจุฑามาศ พร้อมลูกสาวเดินทางมาขึ้นศาลในการไต่สวนคดีนัดแรก โดยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและมีกำหนดสิ้นสุดการไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้ายในวันที่ 10 ส.ค. 2559 ปัจจุบันคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ สำหรับทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดรวมมูลค่าประมาณ 1 ล้าน 8 แสนเหรียญสหรัฐฯ หรือ ประมาณ 60 ล้านบาท อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อกลับคืนสู่ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้เสียหาย ตามพันธกรณีสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางอาญา และตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ปี 2546

ด่วน!!!รับกรรมไปอีกราย “ศาลคดีทุจริต”พิพากษาจำคุก“จุฑามาศ”อ่วม50ปี ลูกสาวโดน 44 ปีรับสินบนเทศกาลหนัง สั่งริบทรัพย์คืนแผ่นดินอีก62ล้าน

 

 

 

 

 

ขอบคุณภาพ : News Plus