ด่วนที่สุด !!! หน่วยความมั่นคงประสานกสทช.สั่งผู้ให้บริการเน็ตลบเนื้อหาหมิ่นสถาบันทั้งหมดใน 7 วัน

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานคณะกรรมการกิ จการกระจายเสียง กิจโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการกิ จการโทรคมนาคม (กทค.) พร้อมด้วย พล.อ.ภุชพงศ์ พงษ์ศิริ ประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม , นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. และ น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการประชุมเรื่อง CDN (Content Delivery Network) ที่ กทค.ต้องสรุปให้ได้ว่าอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานใด เพื่อให้สามารถทำงานเกี่ยวกับการปราบเว็บผิดกฎหมายในประเทศไทย ที่มีการเข้ารหัสได้

พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าวว่า การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมนัดพิเศษ เพื่อให้การกำกับดูแลชัดเจนขึ้น แม้ กสทช. มี พ.ร.บ.กสทช.พ.ศ.2553 เป็นหลัก แต่บาง พ.ร.บ.ของกสทช.ไม่มีอำนาจในการดำเนินการ จึงต้องร่วมมือกันดำเนินการกับทุกภาคส่วน มีการบูรณาการของทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
          ขณะที่นายฐากร กล่าวว่า ที่ประชุม กทค.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ดาต้า เซ็นเตอร์ , เซิร์ฟเวอร์ และ CDN หรือระบบการเก็บข้อมูล เข้าข่ายการให้บริการประเภทที่ 1 ของ กสทช. จึงมีมติให้สำนักงาน กสทช. ทำหนังสือแจ้งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือไอเอสพี และผู้ให้บริการโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ (ไอไอจี) ดำเนินการแยกข้อมูลที่ผิดกฎหมายตามที่ได้เคยมีหมายศาลแจ้ง ออกจากระบบของผู้ให้บริการ ภายใน 7 วัน
          ‘หลังจากครบกำหนด กสทช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดีอี , กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และหน่วยงานด้านความมั่นคง จะทำการตรวจสอบฐานข้อมูลของผู้ให้บริการ หากพบว่าในเครื่องแม่ข่ายของผู้ให้บริการยังมีข้อมูลที่ผิดกฎหมายอยู่ กสทช.จะใช้กฎหมายของ กสทช.ในการเอาผิด ตั้งแต่การปรับ พักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต ขณะที่กระทรวงดีอี และ ปอท.ดำเนินการตามกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ได้ โดยพรุ่งนี้ (27 เม.ย.) จะทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ให้บริการ นับเวลา 7 วันตั้งแต่ได้รับหนังสือ จากนั้นต้องฟังเหตุผลของผู้ให้บริการก่อนว่าเอาออกไม่ได้เพราะอะไร เราจะไม่ปล่อยระยะเวลาให้ผ่านไปเหมือนเมื่อก่อน ถ้ามีปัญหาเราก็พร้อมจะช่วย’ นายฐากร กล่าว
          ด้าน น.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมาย เพื่อจัดการกับการนำเสนอข้อมูลที่มีผลกระทบกับความมั่นคงและศีลธรรมอันดี โดยได้ปรับการทำงานของทุกหน่วยงานให้ง่ายขึ้น รวมถึงการนำข้อมูลที่เป็นคำสั่งศาลในคดีความผิดต่างๆขึ้นมาไว้บนแพลตฟอร์มของกระทรวงเพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบและดำเนินการตามมาตรการที่เกิดขึ้น เป็นการสอบทานว่ามีการดำเนินการนำข้อมูลที่ผิดกฎหมาย และมีคำสั่งศาลถึงไอเอสพี แล้วออกจากระบบมากน้อยเพียงใด หากไอเอสพีมีอุปสรรคในการนำข้อมูลออกจากระบบให้ไอเอสพีแจ้งมายังกระทรวงเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือได้
          ‘ที่ผ่านมา ดีอี , ปอท. และหน่วยงานความมั่นคง รวมถึง กสทช. มีการปรับการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ตามขั้นตอนของกฎหมายอยู่แล้ว คือ ต้องมีคำสั่งศาล แต่การประชุมครั้งนี้เป็นการปรับการทำงานให้ง่ายเป็นแพลตฟอร์มเดียวกัน เราทำมา 2 ปีแล้ว ให้ไอเอสพี , ไอไอจี มาดูตรงแพลตฟอร์มนี้ และผู้ให้บริการมีความเข้าใจตรงกันแล้ว เพราะมีการประชุมกันหลายครั้งแล้ว แต่การส่งจดหมายให้ กสทช. เพื่อให้ กสทช.ส่งต่อให้ไอเอสพี และไอไอจีนั้น เป็นการตรวจสอบหมายศาลที่เคยมีคำสั่งไปแล้วว่ายังมีเนื้อหาหลงเหลืออยู่ในระบบหรือไม่ เป็นการเตือนให้ทำก่อนที่วันที่ 24 พ.ค. ที่ พ.ร.บ.คอมพ์ ฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ จึงแจ้งเตือนให้ตรวจสอบ ถ้าทำไม่ได้อย่างไรเราจะช่วยดูแลให้’ น.อ.สมศักดิ์ กล่าว
          ส่วน พล.อ.ภุชพงศ์ กล่าวว่า ขอประชาชนอย่าได้ ตระหนกตกใจการดำเนินการครั้งนี้ เพราะจะทำเฉพาะกับบุคคลที่มีความผิดและมีเจตนาไม่ดีเท่านั้น ประชาชนผู้สุจริตจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรทั้งสิ้นขอให้สบายใจได้

ด้าน ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดีอี กล่าวว่า ในการใช้สื่อโซเชียลเผยแพร่สิ่งไม่เหมาะสม การฆ่าตัวตาย ฯลฯ ถือเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งต้องเตือนให้ประชาชนรู้เท่าทันการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล ซึ่งไม่อยากให้มีการเผยแพร่ ส่งต่อ ผู้ใช้งานต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูง ซึ่งในส่วนของผู้ให้บริการ อาทิ ไอเอสพี และต้นตอของผู้ให้บริการ กระทรวงฯต้องขอความร่วมมือ โดยสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายของสังคม และสิ่งใดศาลลงความเห็นว่าผิดก็ขอให้ปิดทันที ซึ่งปัจจุบันไอเอสพีที่มีการป้อนข้อมูลในการเข้าถึงเพื่อเข้ารหัส ถือเป็นเรื่องลำบากที่กระทรวงฯจะเข้าไปปิด จึงขอให้ช่วยกันอย่าให้เผยแพร่ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง