สนธิญาณ ชี้!!"อ้ายปึ้ง"ลาออกเพื่อไทย เบื่อการเมืองจริงหรือแค่ยุทธศาสตร์แยกกันเดิน?? จับตา!!กลยุทธ์"เพื่อไทย"ตั้งพรรคเล็กเก็บที่นั่งปาร์ตี้ลิ

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

รายการ "ยุคลถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ" ประจำวันที่ 28 เมษายน 2560 ออกอากาศทางช่อง ไบรท์ทีวี หมายเลข 20 ดำเนินรายการโดย คุณยุคล วิเศษสังข์ (หนึ่ง) ได้สัมภาษณ์คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม (ต้อย) บรรณาธิการอำนวยการ สำนักข่าวทีนิวส์ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

สนธิญาณ ชี้!!"อ้ายปึ้ง"ลาออกเพื่อไทย เบื่อการเมืองจริงหรือแค่ยุทธศาสตร์แยกกันเดิน?? จับตา!!กลยุทธ์"เพื่อไทย"ตั้งพรรคเล็กเก็บที่นั่งปาร์ตี้ลิสต์

            สนธิญาณ : แหม่ เรื่องเก่งก็กำลังมัน เรื่องเรือดำน้ำก็กำลังยุ่งนะ แต่ว่าขอกลับมาเรื่องนี้ซักเรื่อง เรื่องที่ว่าเนี่ยคือเรื่องของสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล น่าสนใจๆ ว่าอยู่ๆเนี่ยคุณสุรพงษ์เนี่ยบอกว่าจะเลิกเล่นการเมืองแล้ว ลาออกจากพรรคเพื่อไทยแล้วนะ ทำไมถึงลาออกนะ อยู่ๆเบื่อการเมืองจริงเหรอนะ ตั้งใจโดยส่วนตัวที่อยากจะลาออกด้วยตัวเองและการลาออกจะมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมขอให้พรรคเพื่อไทยดำเนินการในการแจ้งเรื่องไปตามกฎหมายพรรคการเมืองต่อไป พร้อมยืนยันว่าการลาออกในครั้งนี้ไม่มีปัญหากับพรรคหรือลูกพรรคคนใด แต่มีความตั้งใจปณิธานจะทำงานช่วยเหลือประเทศชาติโดยไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคการเมืองหรือสังกัดพรรคเพื่อไทย ดูประโยคนี้นะ ไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคการเมืองหรือสังกัดพรรคเพื่อไทย แล้วตั้งปณิธานว่าหลังจากลาออกจะให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและทำให้สังคมอยู่ดีมีความสุข ผดุงรักษาไว้ซึ่งความถูกต้องในสังคม โปร่งใสภายใต้หลักนิติรัฐ หลักนิติธรรมผมก็ต้องเรียนแบบนี้ครับ การลาออกของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลเนี่ย ไม่ได้บอกว่าจะเลิกยุ่งการเมืองนะ ถูกไหมคุณยุคล เพราะบอกว่าโดยไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคการเมือง พูดง่ายๆหรืออีกทางหนึ่งก็คือ ไม่สังกัดพรรคการเมือง ไอ้คำพูดแบบนี้มันชัดเจนว่ายังยุ่งการเมืองอยู่นะ แต่อาจจะไม่สังกัดพรรคการเมืองนะหรือไม่ต้องเป็นพรรคการเมือง สองยังจะต้องมาทำให้สังคมโปร่งใสโน่นนี่นั่น ถามว่ามีเหตุผลอะไร ผมให้มองเรื่องไกลๆ ฝากไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วยพูดเรื่องนายสุรพงษ์ ทำไมถึงฝากเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ ยังมางมอยู่กับเรื่องร้อยบาทไม่ร้อยบาทนะ ยุ่งกับเรื่องที่ในหลักการน่ะมันเป็นเรื่องอยู่ว่าต้องการสมาชิกพรรคที่มีคุณภาพออกมาโวยวาย นี่พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์นะ จะไม่มีคนมาเป็นสมาชิกอยู่แล้ว ไม่มีก็อย่ามีซิ ถ้าสมาชิกไม่มีคุณภาพน่ะ แต่ในขณะที่เกมการเมืองนะของฝ่ายที่คุณเคยต่อสู้แล้วคุณแพ้มาตลอดน่ะ ต้องใช้คำว่าแพ้ชนะการเลือกตั้งน่ะคือพรรคเพื่อไทยน่ะ ผมให้ดูตรงนี้คุณยุคล การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นการเลือกตั้งในระบบที่เรียกว่าระบบสัดส่วนผสม ถูกไหมคุณยุคล สัดส่วนผสมเนี่ยมันสำคัญตรงที่ว่าพรรคการเมืองไหนได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์นะหรือคะแนนที่เลือกตั้งรวมมาแล้วทั้งหมด เค้าเลือกอันเดียวเนี่ย นับคะแนนพรรคใช้คำแบบนี้ คะแนนพรรคได้เท่าไหร่เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ ส.ส.เท่านั้น ยกตัวอย่างง่ายๆเลยว่ามี ส.ส. 500 คน พรรคเพื่อไทยได้คะแนนรวมทุกครั้งๆเนี่ยนะครับ รวมมาแล้วเนี่ยนะครับเขาได้มา 200 คนจากคะแนนเขาคือ 40 เปอร์เซ็นต์นะครับของผู้ที่มีสิทธิ์ สมมติว่า 40 ล้านนะ เขาได้มา 15 ล้านเสียง 16 ล้านเสียง เขาได้ 200 คน 200 คนเนี่ยไปดูเลยนะครับ พรรคเพื่อไทยเนี่ยนะฮะได้คะแนน ได้ ส.ส. ที่นั่นประมาณ 180 คน แสดงว่าเขาจะได้ปาร์ตี้ลิสต์แค่ 20 นึกออกไหม นี่คือระบบสัดส่วนผสมใหม่ แต่ระบบปาร์ตี้ลิสต์แบบเก่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.แบ่งเขตมาแล้ว 180 คะแนนได้ 40 คะแนน ส.ส. 150 คน พรรคเพื่อไทยก็จะได้ 70 คนเลย บวกกับ 180 เป็น 250 นึกออกไหม ถึงทำให้เสียงเขาได้ชนะขาดน่ะ เที่ยวนี้ไม่ได้ เมื่อไม่ได้เนี่ยนะครับ ระบบการเลือกแบบนี้เนี่ยแน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยรู้สึกได้ว่าตัวเองเสียเปรียบในการเลือกปาร์ตี้ลิสต์ ในการที่จะถูกคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ ยังไงก็ได้ 10 กว่าคน 20 คนอยู่แล้ว เป็นแบบนั้น ถ้ามีการตั้งพรรคเล็กพรรคน้อยขึ้น 7 หมื่นคน ได้ ส.ส. 1 คน ไอ้เขตพื้นที่ไหนนะที่ดูท่าแล้วว่าจะไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่คะแนนทุกคะแนนเขามานับหมด นึกออกไหมครับ พรรคเพื่อไทยเคยส่ง ส.ส.เต็มพื้นที่นะ ในการเลือกตั้งระบบแบ่งเขต 350 คน เที่ยวนี้เขาจะไม่ส่ง เขาจะส่งในนามพรรคเพื่อไทยที่ได้แน่นอนเนี่ยนะในจำนวนหนึ่งและจะส่งในนามพรรคอื่น อาจจะหนึ่งพรรค สองพรรค สามพรรค สี่พรรค ห้าพรรค แบ่งกันไปตามเขต ไป 3 จังหวัดใต้ ไปในเขตกรุงเทพแยกตรงนี้มา ภาคกลางไปแบ่งตรงนั้นมา ตะวันออกไปแบ่งตรงนี้มา ไอ้พรรคเล็กพรรคน้อยเนี่ยมันจะถูกเอาไปคำนวณเป็นปาร์ตี้ลิสต์ เขาได้พรรคนึงเนี่ยนะครับซัก 7 แสนคะแนน 5 แสนคะแนน พรรคหนึ่งเนี่ยนะครับจะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 3 คน 5 คน สิบพรรคก็ 50 คนครับ เป็นไง จับตา ผมไม่ได้หมายความว่านายสุรพงษ์คิดแบบนี้นะ แต่ผมรู้ว่าแผนของพรรคเพื่อไทยคิดแบบนี้ ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังว่าไปดูซิ มันเป็นอีกแผนหนึ่งหรือไม่ มันเป็นอีกแผนหนึ่งหรือไม่นะ ถ้าใช่ นี่แหละครับ แสดงว่าพรรคเพื่อไทยเขาคิดไปไกล แต่ข้อเท็จจริงจากคำให้สัมภาษณ์ของนายสุรพงษ์หรืออ้ายปึ้ง เขาไม่ได้เลิกการเมือง แล้วจู่ๆนะคนที่จงรักภักดีกับทักษิณนะ เอาตัวตายเข้าไปไปทำแบบนี้ เขาถูกตัดสิทธิ์การเมือง เรารู้อยู่นะครับ แต่การที่ไปเคลื่อนไหว การที่ทำ เพราะไม่ได้ทำในนามพรรคเพื่อไทยก็ได้เท่านั้นเอง ไปประกาศสนับสนุนอุดมการณ์พรรคโน้นพรรคนี้ นี่ไปอยู่เบื้องหลังนะไปทำอะไรก็ตามแต่ที่เป็นสัญลักษณ์แล้วก็ทำให้เกิดในกรณีอย่างนี้ขึ้น อันนี้ต้องจับตา อันนี้ต้องจับตาครับ ที่จับตาเนี่ยผมก็ฝากกลับไปยังพรรคประชาธิปัตย์ล่ะครับ พูดกันมากมายหลายสถานนะครับ เขาไปไกลแล้ว เขาไปไกลแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ใช่เขาไม่เกรงกลัวนะคุณยุคลตอนนี้นะ เขาเตรียมนะ มี 7 อรหันต์นะ พิทักษ์ปกป้องอภิสิทธิ์ขึ้นมาแล้ว เพราะกลัวคุณสุเทพ เทือกสุบรรณจะเคลื่อนไหว เพราะแนวคิดคุณสุเทพกับคุณอภิสิทธิ์ไม่เหมือนกันตอนนี้คุณสุเทพชัดเจน สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ อภิสิทธิ์ที่จะเป็นนายกเอง ก็ต้องจับตากันต่อไป

ขอทิ้งท้ายเรื่องเรือดำน้ำนิดนะ ส่งท้ายนิดเดียว ไม่เป็นประเด็นข่าวหรอกครับ แต่ประเด็นที่ผมอยากจะเรียนตอกย้ำ เรือดำน้ำในครั้งนี้เนี่ย ซื้อด้วยงบประมาณกองทัพเรือถูกไหมครับคุณยุคล สองเป็นการซื้อแบบ G to G นะครับ สามเป็นการผ่อนระยะยาว 11 ปี ในวงเงิน 36,000 ล้าน เนี่ยจ่ายครั้งแรก 13,500 ล้าน ถูกไหมครับ คำถามง่ายๆ ทำไมกองทัพเรืออยากจะซื้อเรือดำน้ำ นะ ข้อที่ 1 อยากได้คอมมิชชั่นนะ โยงมาเลยตั้งแต่รัฐบาล อยากได้นะจะเป็นพลเอกประยุทธ์ จะเป็นพลเอกประวิตร มาจนถึงแม่ทัพนายกองในกองทัพเรืออย่างนั้นหรือ ไม่ได้ครับ เที่ยวนี้ไม่มีหัวคิว ผมจะเรียนแบบนี้ครับ เหตุผลที่ไม่มีหัวคิวเนี่ย เพราะทุกครั้งเวลาซื้อขายอาวุธที่ผ่านมาเนี่ยมันจะผ่านบริษัท แต่เที่ยวนี้เป็น G to G นะ เอาให้ชัด จบ รัฐบาลต่อรัฐบาล เพราะฉะนั้นถ้าต้องการจะซื้อเพื่อกินหัวคิว มันก็ไม่ใช่ เมื่อมันไม่ใช่ งั้นจะซื้อทำไม ไว้อวดศักดา หรือว่าเพราะมันมีความจำเป็นจริงๆ ก็ขอให้พิจารณาตรงนี้นะครับนะ เมื่อไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องก็พิจารณาว่ามันมีความจำเป็นในยามที่โลกร้อนลนอยู่ ในยามที่ปัญหาต่างๆรบเร้าอยู่ การเมืองและในวงเงินที่คุณยุคลรายงานไปแล้ว เปรียบเทียบกับวงเงินที่ใช้กันอยู่นะมันเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่แน่นอนครับมันทำให้ประเทศเรามีความเข้มแข็งในทางการทหารขึ้น ขอบคุณครับ