แรงกระเพื่อม..ยิ่งกว่าคลื่นยักษ์ !“ชาญชัย”ดับเครื่องชน“คิง เพาเวอร์”จ่อชงรายงานสรุป สปท.ถึง“บิ๊กตู่”ชี้ชัดผิดหลายขั้นตอนต้องยกเลิกสัญญา?

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th/

ถือเป็นเผือกร้อนที่ถูกโยนใส่พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.เต็ม ๆ  สำหรับเคสกรณีของบริษัท คิง เพาเวอร์  ที่กำลังมีข้อเสนอจาก  กรรมาธิการด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้ยกเลิกยกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่การบริการสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

 

ล่าสุด นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ รองประธานอนุกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุผลที่ สปท.เสนอให้รัฐบาลยกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่การบริการสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัทคิงพาวเวอร์ ว่า โดยเนื้อหารายงานที่ สปท.เสนอให้นายกรัฐมนตรี แสดงความชัดเจนถึงการทำผิดกฎหมายตั้งแต่ก่อนเป็นสัญญา เพราะมีการหลีกเลี่ยงพ.ร.บ.ร่วมทุนกับเอกชนมาตั้งแต่แรกด้วยการทำรายงานเท็จ โดยเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มบริษัทคิงพาวเวอร์ร่วมกันกระทำความผิด เช่น การคำนวณราคามูลค่าทรัพย์สินของรัฐและเอกชนและสต็อคสินค้าคงคลังที่ทอท.จะได้รับผลประโยชน์ 15 เปอร์เซ็นต์ จากยอดการขายสินค้าแต่มีการหลีกเลี่ยงไม่ดำเนินการจ่ายสิทธิประโยชน์ให้ทอท.ตลอด 9 ปีที่ผ่านมาโดยใน 5 ปีแรกจ่ายให้แค่ 0.45 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น และใน 5 ปีหลังจ่ายให้แค่ 3 เปอร์เซ็นต์ จาก 15 เปอร์เซ็นต์ โดยในประเด็นนี้ทอท.มิได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของกฤษฎีกา ทำให้รัฐเสียหาย

นอกจากนี้ยังมีประเด็นทางกฎหมาย สืบเนื่องจากการที่กลุ่มบริษัทคิงพาวเวอร์ ลงทุนเกินวงเงิน 1 พันล้านบาท ซึ่งตามกฎหมายต้องทำตามพ.ร.บ.ร่วมทุน พ.ศ.2535 กำหนด แต่ในกรณีนี้บริษัทคิงพาวเวอร์ ยอมรับในการบรรยายฟ้องต่อศาลแพ่งที่ฟ้องเรียกค่าเสียหายหลังจากที่ถูกบอกเลิกสัญญาในสมัยที่ พล.อ.สะพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นประธานบอร์ด ทอท.เกี่ยวกับเงินลงทุนทั้งสองสัญญาเกิน 1 พันล้านบาท คือ สัญญาแรก บริษัทคิงพาวเวอร์ ดิวตี้ฟรี บนเนื้อที่ 5 พันตารางเมตรลงทุน 1,091 ล้านบาท และสัญญาที่สองลงทุนเชิงพาณิชย์ในการตกแต่งร้านค้าพื้นที่ 2หมื่นตารางเมตร รวม 1,700 ล้านบาท เท่ากับบริษัทคิงพาวเวอร์ยอมรับผิดและปกปิดข้อมูลการลงทุนฝ่ายเดียวของตัวเองมาโดยตลอดซึ่งขัดพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ และยังมีความผิดในกรณีลักลอบขายสินค้าปลอดอากรโดยมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น อุทธรณ์ และฎีกา ตัดสินแล้วว่ามีการลักลอบขายสินค่าปลอดอากรจริง ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายต้องยกเลิกใบอนุญาตขายสินค้าปลอดอากรได้ทันที

 

 

ในตอนท้าย นายชาญชัย ระบุด้วยว่า จากการทำผิดกฎหมายหลายฉบับในหลายเหตุการณ์ถือเป็นเหตุผลที่รัฐบาลสามารถบอกเลิกสัญญาที่ทำผิดกฎหมายได้ทันทีโดยแจ้งเป็นโมฆะกรรม ซึ่งมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ต้องเสียค่าโง่ใด ๆ และยังสามารถเรียกเก็บเงินค่าเสียหายจากกลุ่มบริษัทเอกชนได้อีกไม่น้อยกว่า 27,000 ล้านบาท จากการร่วมกันทุจริตและหลีกเลี่ยงไม่จ่ายสิทธิประโยชน์ให้แก่ ทอท. 15 % โดยในเรื่องนี้จะมีการประชุมอนุกรรมาธิการฯ ชุดที่มี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป เป็นประธานอีกครั้ง ในวันศุกร์ ( 19 พ.ค.) นี้ และคาดว่าจะสรุปเพิ่มเติมข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดว่า กรณีดังกล่าวมีการทำผิดกฎหมายอะไร เมื่อใด ใครเป็นผู้กระทำผิด ที่แยกชัดทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐและเอกชน พร้อมหลักฐานเพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้  

 

 

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่ากรณีนี้จะเป็นเรื่องที่มีการกระทำผิดกฎหมายชัดเจน แต่ยอมรับว่าจัดการยากเพราะมีลักษณะของการอุปถัมภ์ซ้ำซ้อน  อย่างไรก็ตามเชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง  ตั้งแต่การเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ในกรณีมีการชี้มูลความผิดเพื่อสกัดคนโกงชาติไม่ให้ขนเงินหนี  และถ้าเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการฟอกเงิน ทางป.ป.ง.ก็สามารถเข้าไปดำเนินการได้  ทั้งนี้เชื่อว่าน่าจะมีการนำเรื่องนี้เข้าศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.)เพื่อดำเนินการต่อไปอีกด้วย

 

 

“สำหรับกรณีสื่อมวลชนบางฉบับรายงานว่าการดำเนินการเรื่องนี้เพื่อเรียกรับประโยชน์  ตนมองว่าเป็นเรื่องตลก  และเป็นการฟ้องตัวเองว่ากำลังรับใช้ใครอยู่ เพื่อที่จะดิสเครดิตคณะทำงานของสปท.และพลเรือเอกพะจุณณ์ ตามประทีป  ทั้ง ๆ ที่การดำเนินการเรื่องนี้ทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผมรู้ว่ามีกระบวนการอะไรอยู่ถ้ายังไม่หยุดผมจะแฉกลับ วันนี้ถ้าจะเอาเงินมาเป็นคันรถสิบล้อก็เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่สื่อมวลชนเหล่านั้นนำเสนอก็เป็นการฟ้องตัวเองว่าเป็นเรื่องที่ไม่จริง” 

 

 

 

ก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  กล่าวถึงกรณีที่กรรมาธิการด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอให้รัฐบาลยกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่ให้บริการสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยาน ของบริษัท คิง เพาเวอร์  ว่า เมื่อ สปท.เสนอขึ้นมาก็จะรับไว้พิจารณา แต่จะทำอย่างไรก็ต้องดูกฎหมายและหลักการให้ชัดเจน แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องของใครสนิทสนมกับใคร หรือใครเป็นผู้มีอำนาจ  การเขียนข่าวแบบนั้นถือว่าเลอะเทอะ โดยจะต้องใช้กฎหมายทั้งเรื่องของสัญญาและเรื่องอื่นๆ ก็จะต้องไปดู

 


"การจะบอกเลิกสัญญา ทำอย่างไรก็ต้องไปดูให้ดี เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ทำในสมัยรัฐบาลนี้ เมื่อถึงรัฐบาลนี้บอกว่าจะยกเลิกสัญญาก็ต้องไปดูว่าทำได้หรือไม่ ว่ากันตามกลไกทางกฎหมาย ไม่ใช่ว่าจะเข้าข้างใคร"