- 07 มิ.ย. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th/
ถือเป็นประเด็นร้อนคาบเกี่ยวกับอนาคตธุรกิจการบินระดับประเทศ ภายหลังจากบอร์ดบมจ.การบินไทย ตัดสินใจไม่เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบมจ.นกแอร์ ส่งผลให้สัดส่วนการถือครองหุ้นของบมจ.นกแอร์เปลี่ยนไปจากการที่บมจ.การบินไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ กลายเป็นคนในตระกูล “จุฬางกูร” โดยสมบูรณ์ จากสัดส่วนหุ้นถือครองรวม 28.93% ตามรายงานข่าวที่นำเสนอไปก่อนหน้า
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ตอกย้ำ..ตราบาปประเทศ!! เปิดชัดๆ กลุ่มทุน “จุฬางกูร” เป็นใคร วันนี้ยึด “นกแอร์” เบ็ดเสร็จหลัง “บอร์ดการบินไทย” จัดดีลพิเศษเปิดทางโล่ง??
ต่อมาบนหน้าเว็บไซด์ของ “ฐานเศรษฐกิจ” ได้รายงานข้อมูลเพิ่มเติม ระบุความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับโครงสร้างผู้ถือหุ้น บมจ.นกแอร์ อีกครั้ง ว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้รับแบบรายงานการได้มา/จำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) จากนาย ณัฐพล จุฬางกูร ได้มาหุ้นของบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2560 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 0.66% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 15.16 % ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
ขณะเดียวกันถ้าย้อนกลับไปดูหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบมจ.นกแอร์ เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2560 พบว่ามีการแจ้งสัดส่วนการถือครองหุ้นในส่วนของ นายทวีฉัตร จุฬางกูร ไว้ที่ 177,651,800 หุ้น หรือ คิดเป็น 15.61 % ตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียง จำนวน 1,135,999,882 หุ้น ส่วนนายณัฐพล จุฬางกูร มีจำนวนหุ้นถือครองจำนวน 151,000,000 หุ้น หรือ คิดเป็น 13.29 % ดังนั้นถ้าสัดส่วนการถือครองหุ้นบมจ.นกแอร์ ของนายณัฐพล มีจำนวนเพิ่มเป็น 15.16 % จะทำให้จำนวนสัดส่วนการถือครองหุ้น บมจ.นกแอร์ของตระกูล “ จุฬางกูร” เพิ่มเป็น 30.80 % ในขณะที่บมจ.การบินไทยยังคงอยู่ที่ 21.57 %
ขณะเดียวกันจากปมซับซ้อนซ้อนเงื่อน ในการขายหุ้นเพิ่มทุนโดยบอร์ดการบินไทย ตัดสินใจไม่เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในราคา 2.40 บาทต่อหุ้น แม้ราคาในตลาดจะยืนอยู่ที่ 4.80 บาท ทำให้ประเด็นนี้ยังคงกลายเป็นจุดเคลือบแคลงสงสัย ว่ามีเงื่อนปมอะไรมากกว่าข้ออ้างเรื่องความ คุ้มค่าหรือไม่ ??
ล่าสุดในคอลัมน์ “พอเพียงอย่างพอใจ” ของหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ได้มีการนำเสนอบทความของ “ฉาย บุนนาค” ซึ่งเป็นภาคต่อจากการเปิดประเด็นเรื่องการตั้งข้อสังเกตุ ว่าทำไม บอร์ดบมจ.การบินไทย ตัดสินใจไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุน บมจ.นกแอร์ ทั้ง ๆ ที่มียอดผลกำไรอย่างชัดเจน อีกหนึ่งตอนต่อเนื่อง ในหัวข้อ “ ทุนใหม่” ควรทำTender นกแอร์ที่ 7.85 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
“ สืบเนื่องจากตอนก่อน...การปล่อยให้ “การบินไทย” รัฐวิสาหกิจมีชื่อเสียประโยชน์และอำนาจควบคุมในบริษัทสายการบินนกแอร์ ให้กลุ่มทุนใหม่ ผ่านการสละสิทธิ์เพิ่มทุนในราคาถูก คือ "การทุจริตเชิงนโยบาย" ที่แยบยลและวางแผนล่วงหน้า
แม้การขายหุ้น NOK เป็นสิ่งที่การบินไทยควรตัดสินใจทำก่อนหน้านี้ ดังเช่น คุณพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่ทยอยขายหุ้นตั้งแต่ 16 บาทกว่า และดังเช่นหุ้นส่วนต่างชาติรายอื่นๆ ที่ทยอยขายตั้งแต่ 26 บาท ...อดีตเป็นเรื่องแก้ไขไม่ได้ แต่ปัจจุบันคุณเลือกได้ที่จะทำเพื่อสิ่งที่สมควรในการรักษาประโยชน์ของประเทศชาติ...
วันนี้การมาถือครองหุ้น NOK ของกลุ่ม "จุฬางกูร" ผ่านชื่อคุณทวีฉัตร จุฬางกูร และคุณณัฐพล จุฬางกูร จากการซื้อในกระดานและผ่านการใช้สิทธิ์เพิ่มทุนที่เกินสิทธิ์ จนสัดส่วนรวมกันเกือบ 30% (มากกว่าการบินไทย 9%) ซึ่งตามกฏหมายระบุว่าต้องทำคำเสนอซื้อให้ผู้ถือหุ้น NOK ทุกรายรวมทั้งการบินไทย ในราคาสูงสุดที่ได้มาซึ่งหลักทรัพย์ใน 90 วัน ซึ่งคือ ราคา “7.85” บาท
ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลสาธารณะที่ค้นหาได้ใน website ของก.ล.ต. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หากการบังคับใช้กฏหมายมีมาตรฐานที่เท่าเทียมและมีการทำคำเสนอซื้อหุ้น NOK การบินไทยจะได้รับเงินสดกลับไปบริหารจำนวน 1,923.25 ล้านบาท (ราคา 7.85 คูณ 245 ล้านหุ้นที่ถือโดยการบินไทย)... ซึ่งเทียบเท่ากับ 5% เพิ่มขึ้นในส่วนของผู้ถือหุ้นการบินไทย
สิทธิ์นี้เป็นสิทธิ์ที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ถือหุ้น NOK ทุกรายที่จะมีสิทธิ์ขายให้กลุ่ม “จุฬางกูร” ในราคา 7.85 บาท หรือ เกือบ 100% จากราคาตลาดปัจจุบัน...
สิทธิ์นี้เป็นสิทธิ์ที่ผู้ถือหุ้นการบินไทยควรเรียกร้องเพื่อเยียวยาความเสียหายจากการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายของคณะกรรมการการบินไทย
สิทธิ์นี้คือสิทธิ์ของประชาชนคนไทยที่ควรทวงถามจากกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของการบินไทย
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฏหมายโดยตรงคือ "ก.ล.ต." หน่วยงานซึ่งมีภารกิจหลักในการ “กำกับและพัฒนาตลาดทุนของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ยุติธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ"
หากดูในกรณีศึกษาของการบังคับใช้กฎหมายข้อนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่า ก.ล.ต. เลือกปฏิบัติ?
กฏหมายบังคับใช้กับนายหมู นายหมา เท่านั้นหรือ? คำชี้แจงของ “นายปริย เตชะมวลไววิทย์” เป็นสิ่งที่รับฟังไม่ได้และขาดการตรวจสอบที่ชัดเจน
ขอโปรดรับฟังอีกมุมหนึ่งของสังคมว่ามีคนอีกมากมายที่ต้องการทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่คงเป็นไปได้ยากหากการบังคับใช้ไม่เป็นธรรม...
จงอย่าลืมตราสัญลักษณ์ของ ก.ล.ต.
สีเขียวเข้ม คือ ความเที่ยงตรงและบรรทัดฐานที่ดี
สีน้ำเงิน สื่อถึงชาติและการเกื้อหนุนเศรษฐกิจและศรัทธา
สีเขียวอ่อนล้อมวงกลม คือ การรับฟังและร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาตลาดทุน
วันนี้สมบัติชาติกำลังถูกเบียดบัง ... วันนี้ความเป็นธรรมเป็นสิ่งที่คนไทยโหยหา
หากชาติจะมั่นคงต้องมีประชาศรัทธา... อย่าให้ถูกกล่าวหาเอื้อประโยชน์เฉพาะคนรวย??
ที่มาคอลัมน์ : พอเพียงอย่างพอใจ /หน้า 18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ