ด่วน !!! "ธาริต" โดนอีกคดี ศาลฎีการับฟ้องทุจริตตั้งข้อหา "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ฆ่าเสื้อแดง

ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th

ที่ห้องพิจารณาคดี 910 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้นัดฟังคำสั่งศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.310/2556 ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะอดีตรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ในฐานะอดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐจากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นร่วมกันเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 157, 200

สืบเนื่องจากเมื่อเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 – 13 ธันวาคม 2555 พวกจำลยได้สรุปสำนวนกล่าวหาโจทก์ทั้ง 2 ข้อหาก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าโดยเจตนาและเล็งเห็นผล จากการออกคำสั่ง ศอฉ. เพื่อใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ซึ่งโจทก์เห็นว่า เป็นการแจ้งข้อหาบิดเบือนจากข้อเท็จจริง และดีเอสไอไม่มีอำนาจสอบสวน ต้องเป็นการวินิจฉัยของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกฟ้อง  เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 4 ดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน และบทบัญญัติของกฎหมาย พยานหลักฐานที่นำสืบมาของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนาบิดเบือนแจ้งข้อกล่าวหาแก่โจทก์ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้ยื่นฎีกาคัดค้าน

โดยศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุ ม.66 วรรคแรกบัญญัติว่า “ในกรณีที่ ป.ป.ช.มีเหตุอันควรสงสัย หรือมีผู้กล่าวหาว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. หรือข้าราชการการเมืองอื่นร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ให้ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวน”

การกระทำของโจทก์ทั้ง 2 จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของโจทก์ที่ 2 เมื่อมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ทหารและกองกำลังติดอาวุธของผู้ร่วมชุมนุม

ต่อมาจำเลยทั้ง 4 ได้สอบสวนและเรียกโจทก์ทั้ง 2 มารับทราบข้อเท็จจริงและข้อหา โดยบันทึกการแจ้งข้อเท็จจริงและข้อหาได้ว่า ข้อเท็จจริงในการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เป็นการชุมนุมโดยสงบ และไม่มีการใช้อาวุธ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการสอบสวนให้ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน เพื่อให้เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารเพียงฝ่ายเดียวมีอาวุธ กระทำต่อผู้ร่วมชุมนุม การกระของพวกจำเลย จึงมีข้อเคลือบแคลงสงสัยว่า จำเลยทั้ง 4 ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตหรือไม่ แม้การสอบสวนของจำเลยทั้ง 4 จะมีพนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวนและต่อมาอัยการยื่นฟ้องโจทก์ทั้ง 2 ต่อศาล แต่ศาลต้องตรวจสอบว่ากระบวนการสอบสวนของจำเลยทั้ง 4 ได้กระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หากการสอบสวนดังกล่าวกระทำโดยไม่ชอบกฎหมาย ย่อมมีผลให้พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์ทั้ง 2 ก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่หลักฐานที่บ่งชี้ว่าการสอบสวนและแจ้งข้อหาของจำเลยทั้ง 4 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบตามกฎหมาย

การกระทำของจำเลยทั้ง 4 ที่ได้สอบสวนและแจ้งข้อหาโจทก์ทั้ง 2 ตามที่โจทก์ทั้ง 2 นำพยานหลักฐานเข้าไต่สวนมามีเหตุผลให้เชื่อว่า จำเลยทั้ง 4 ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 200 ได้

ที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น จึงให้ประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา  พร้อมตรวจหลักฐานและสอบคำให้การจำเลยทั้งสี่ วันที่ 21 สิงหาคม เวลา 09.00 น.