เปิดเคล็ดลับความสำเร็จ "โปรเม" จากปาก "พ่อสมบูรณ์" พรแสวงสำคัญกว่าพรสวรรค์

เปิดเคล็ดลับความสำเร็จ "โปรเม" จากปาก "พ่อสมบูรณ์" พรแสวงสำคัญกว่าพรสวรรค์

ย้อนฟัง “คุณพ่อสมบูรณ์” พูดถึง “โปรเม” ไม่ต้องมีพรสรรค์ “พรแสวง” สำคัญกว่า


ในที่สุด “โปรเม เอรียา จุฑานุกาล” ขึ้นเป็นนักกอล์ฟหญิงมือวางอันดับ 1 ของโลกอย่างภาคภูมิ หลังจากคว้าแชมป์รายการ แมนูไลฟ์ แอลพีจีเอ คลาสสิค ที่นครออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ทำให้มีคะแนนสะสมแซงหน้า ลิเดีย โค เจ้าของตำแหน่งคนเดิม       

ทว่าเส้นทางของ “โปรเม” ไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้ ต้องผ่านการฝึกฝันอย่างหนักหน่วง ซึ่งคนที่วางรากฐานให้ “โปรเม” ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือ “สมบูรณ์ จุฑานุกาล” บิดา

“คุณพ่อสมบูรณ์” เคยให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุของ เอฟเอ็ม 99 ว่า “หลังจากธุรกิจตกแต่งภายในของตนต้องเจอวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 2540 จนต้องตกเป็นหนี้สินหลายสิบล้าน... ช่วงนั้นก็เลยหันมาเล่นกอล์ฟ เพราะไม่อยากให้เครียดมาก แล้วด้วยอายุขนาดนั้นมันก็กีฬากลอ์ฟนี่แหละ ก็เลยเล่นกอล์ฟทั้งวัน ผมออกไป 8 - 9 โมงกลับมา 3 - 4 ทุ่ม ก็เล่น ก็ไปบ่อยแข่งบ่อย จนชอบ ก็ได้มาเปิดโปรช็อป แล้วผมก็ต้องไปเรียนฟิตติ้งที่อเมริกา ที่เทกซัส คือไปอบรม 2-3 เดือนกว่าๆ"
      
 “ตอนนั้นลูกสาวเขาก็เล่นกอล์ฟไปเรื่อยไปๆ ผมก็เลยรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมเราไม่วางแผนให้เค้าดีกว่านั้น ก็เลยเริ่มวางแผน คือที่สำคัญผมว่าน่าจะวางแผนก่อน เหมือนเราสร้างเขื่อนเราต้องมีพิมพ์เขียว ก็เลยคิดว่าต้องเอาที่ร่างกายก่อนเป็นหลัก ผมก็พาเค้าวิ่งตั้งแต่ 5 ขวบ 4 - 5 ขวบก็คือวิ่งแล้ว"

คุณพ่อสมบูรณ์ เล่าต่อว่า แล้วเอรียาเค้าเป็นคนตัวใหญ่กว่าพี่สาวนิดนึง ไม่ชอบวิ่ง ผมก็เลยไปที่โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์ซึ่งมันจะมีป่าช้า มีที่ฝังศพ ก็พาเค้าวิ่ง เค้าก็วิ่งตาม เพราะเค้ากลัวที่วิ่งก่อนเพราะยังไม่รู้ว่าจะตีไปทำไมน่ะ แล้วเรารู้ว่าอันนี้สำคัญ เราจะต้องสร้างกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแกร่งที่มันไม่ใช่การฟิตเนส อันนี้ผมคิดของผมเองนะ
       
"นอกจากวิ่งก็พาไปที่สนามไดรฟ์ ซื้อลูกมาให้เค้าเขี่ยเล่น ว่างก็ออกไปสอนเค้า ใครผ่านไปผ่านมาก็แนะนำบ้าง ก็สอนเองอยู่หลายปี เพราะเริ่มตั้งแต่ 5 ขวบ ก่อนจะเทิร์นโปรจริงๆ ก็ 9 - 10 ขวบที่ยอมเสียตังค์ให้โปรมาสอน ตอนนั้นก็เลยเริ่มจะรู้ว่าลูกพัตต์เค้าไม่ดี เพราะเขาเล็งผิดมาก คือเขาก็พัตต์ลงมาตลอดนะ แต่วิธีเล็งของเค้าซึ่งเราเห็นว่ามันต้องพัฒนาแล้ว ก็เลยไปตัดแว่น ทำโน่นทำนี่ดูว่ามันเกี่ยวกับอะไรกันแน่ เพราะเราหวังอนาคตไกลๆ เราไม่หวังชนะแค่ตรงนี้"
“สำหรับผมไม่ต้องมีพรสวรรค์ มีพรแสวงนี่แหละครับ แล้วก็สองเรื่อง หนึ่งคือเรารักเค้า สองมีเวลา จากนั้นเราก็มาศึกษาดูว่าต้องเริ่มอย่างไร แต่ผมว่าร่างกายต้องมาก่อน เพราะมันต้องซัพพอร์ตความเหนื่อยยาก จากที่ต้องไปซ้อม แบกกระเป๋าบ้างอะไรบ้าง อย่างตอนเช้าพอตื่นผมก็ให้เค้าออกกำลังข้อมือทุกเช้า โดยที่เอาดัมเบลผูกติดกับสายไฟ มีท่อพลาสติกร้อยแล้วก็หมุนขึ้นมา ให้เค้ายืนหมุน เสร็จแล้วก็ไปโรงเรียน แต่ก็ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้านักเรียนนะ"
       
“แม่เค้าจะเตรียมทุกอย่างขึ้นรถไว้ พอไปโรงเรียนก็ไปวิ่งรอบโรงเรียนอีกประมาณ 3 กิโลครึ่ง เอรียาเค้าจะวิ่งช้า ผมก็จะต้องถืออะไรสักอย่างไล่หลังเค้า ก็วิ่งทุกวัน เสร็จแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าในรถ ผมมีรถตู้เล็กๆ คันนึงพอเปลี่ยนเสร็จก็เข้าโรงเรียน แล้วก็กินอาหารพวกผัก ปลา ผลไม้อย่างแอปเปิ้ล แล้วก็ไข่คนละลูก อันนี้นี่บังคับเลย"
 
“แผนที่วางไว้ให้ลูกๆ กับกฏระเบียบของโรงเรียนค่อนข้างจะขัดกัน โชคดีที่คุยกันลงตัว..."ด้วยความที่ผมตั้งใจจะให้ลูกผมเป็นอาชีพกอล์ฟเลยไง ตอนแรกๆ ก็มีปัญหาต้องไฟท์กับโรงเรียน เพราะเราเรียนแค่ครึ่งวัน ซึ่งพอชั่วโมงเรียนไม่ถึงมันก็สอบไม่ได้ บังเอิญอาจารย์ใหญ่เค้าเป็นซิสเตอร์แล้วเค้าเข้าใจ ก็เลยประชุมครู แล้วก็บอกว่าให้เพื่อนทำรายงานแทนได้"
       
“เราเรียนแค่เที่ยงจริงๆ แล้วผมก็เตรียมอาหารให้เค้าก่อนตอนเที่ยง แล้วก็ไปสนามซ้อม เสร็จประมาณ 5 โมงเย็นเราจะเลิกทันที เพราะพอแดดร่มคนอื่นเริ่มจะมาแล้ว คนอื่นเค้าชอบร่มๆ ผมชอบแดดๆ จากนั้น 5 โมงเย็นก็ขึ้นรถ ผมก็จะบังคับให้เค้านอนหนึ่งชั่วโมง แต่ไม่ถึงหรอกประมาณ 40 นาทีก็ถึงสระว่ายน้ำ ก็จะว่ายน้ำประมาณ 2 พันเมตรโดยเฉลี่ย"
       
“ไม่ใช่ผมบังคับนะ เพราะผมให้เค้าเข้าทีมว่ายน้ำไง แล้วคุณครูเค้าวางกฏไว้แบบนี้ ซึ่งด้วยความที่เค้าว่ายมาตั้งแต่ 5 - 6 ขวบแล้วแต่ก็ยังไม่เก่งเท่าไหร่ พอมาเข้าทีมก็ว่ายเร็วขึ้นเยอะเลย แล้วก็โมนี่บางครั้งก็ไปแข่งให้เค้าบ้าง อย่างน้องเมย์นี่ว่ายผีเสื้อเก่งมาก ส่วนน้องโมนี่ก็ฟรีสไตล์ส่วยมาก ค่อนข้างจะพอใจเลย ก็เนี่ยเท่ากับว่าผมทำพิมพ์เขียวก่อนแล้วก็โดยที่ไม่ได้เร่งเรื่องงกอล์ฟมาก แต่ว่าเราก็จินตนาการไปเรื่อยว่ารูปแบบต่างๆ ควรจะเป็นยังไง"

"ตอนหลังพอเค้าเริ่มเป็นนักกอล์ฟที่พอใช้ได้แล้ว มีการแข่งขันอะไรบ้าง มีรางวัลชนะบ้าง เราก็เริ่มรู้ว่ามันเป็นไปได้ แชมป์แรกน้องเม 8 ขวบก็ได้แล้วมั้ง ในเมืองไทย รายการเล็กๆ พวก 9 หลุม ก็ได้มาพอควร จนได้คัดตัวไปแข่ง JuniorWorld ที่อเมริกา ก็ได้ที่ 2 กลับมา ตอนนั้นก็รู้แล้วว่ามันไปต่อได้ ก็ตัดสินใจเรื่องเรียน ก็จบ.6 ก็วางแผนแบบนี้เราก็ต้องบินไปอเมริกา เพื่อจะได้รู้ว่าผู้คนเค้าตีกันยังไง เราเก่งจริงมั้ย เก่งจริงหรือยัง"
       

“ไปอยู่ 8- 9 เดือนเลย ตอนแรกๆ ก็นอนโรงแรม 100 เหรียญบ้าง หลังๆ มาก็นอนโมเต็ลห้องละ 60 - 50 เหรียญบ้าง เค้าให้นอน 2 คนเราก็นอน 4 เอรียานี่นอนพื้นตลอด ไม่เคยเจอเตียง จนนอนเตียงไม่ได้เลย ก็คือตอนนั้นเช่าโมเต็ลอยู่บ้าง บางทีก็ไปขอแชร์กับคนไทยที่เค้าอยู่ที่นั่น แต่ส่วนใหญ่อยู่โมเต็ลไปเรื่อยๆ เสร็จจากรัฐนี้ก็ไปแข่งรัฐนู้น"
  
“เรื่องค่าใช้ค่าใช้จ่ายก็คือผมก็เตรียมเงินไว้ก้อนนึง ขณะเดียวกันทุกอย่างก็ต้องประหยัดหมด เพราะเรารู้ว่าถ้าเราไป ต่างประเทศเราต้องใช้เงินเยอะมาก แต่ถึงจะขนาดมากๆ แล้ว ก็ยังไม่พอเพราะตอนหลังเนี่ยเราเริ่มเดินทางเยอะ เราไม่มีประสบการณ์ ไม่มีใครเขียนเรื่องว่าเราต้องทำยังไงถึงจะประหยัด ก็ค่าใช้จ่ายเยอะไปนิดนึง เสร็จแล้วเงินมันก็ขาด ก็ต้องขายบ้านไป 2 หลัง คือเป็นลักษณะเหมือนตึกแถวสองห้อง" 

"ถามว่ารวมๆ ใช้เงินไปเท่าไหร่ก็เกิน 20 ล้าน ไม่นับรวมโอกาสที่เราหาเงินได้มันก็หายไปเท่าไหร่ด้วย เพราะเราต้องไปด้วยกันตลอด คือผมมีเงินสด 10 ล้าน ตอนแรกก็คิดว่าสบายๆ ไม่พอ ไม่พอก็ขายรถ ผมมีรถเบนซ์ก็ขายไป บ้านสองหลังไม่พอก็กำลังจะขายที่ พอดีเอสซีจียื่นมาเข้ามา คือก่อนหน้านั้นช่วงหนึ่งผมก็เข้าไปอยู่กับสิงห์เค้าก็ช่วยเราแล้วก็คนอื่นๆ ด้วย แต่ว่าเพราะเราเน้นแข่งมากๆ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางอะไรมันก็เยอะอยู่"
       
“แล้วอย่างโค้ชต่างๆ เราก็ยินดีจ่ายตังค์ไปหาคนที่ดีที่สุดก็เคย อยาง เดฟ สต็อกตัน แพงไม่รู้จะแพงยังไง แล้วจะต้องส่งโปรไฟล์อะไรด้วยนะมันถึงจะยอมสอนเรา ไม่ใช่ว่าให้ตังค์แล้วได้ ไม่ใช่นะ แล้วค่าสอนนี่คือชั่วโมงละ 600 เหรียญนะครับ แล้วก็บังคับต้องเรียนสอชั่วโมงต่อครั้ง แต่ข้อดีของเค้าคือให้ผมเรียนด้วย พอดีผมตีกอล์ฟเป็นบ้างเค้าก็บอกเอาเอันนี้นะไปสอนตรงนี้นะ"
       
"ผมคิดว่ามันจะหายได้นะ เพราะว่าร่างกายแข็งแรงอันนี้สำคัญเลย มันสามารถทำทุกอย่างเจริญเติบโตกลับมาใหม่ได้ ความแข็งแรงฮอร์โมนต่างๆ มันก็ยังดี ส่วนที่เค้าดูมีสมาธิขึ้น ดูผ่อนคลายในการตียิ่งขึ้นนั้น ผมว่าเค้าคงแพ้มาหลายสิบครั้งมั้งครับ เค้าก็เลยไปหานักจิตวิทยาก็เลยช่วยเค้าได้ตรงนั้น"

"เรื่องท้อ ผมว่าเค้าคงมีท้ออะไรกันบ้าง แต่ผมไม่พยายามรับรู้ตรงนั้นเลย ถามว่าเสียใจมั้ยเวลาดุลูก ไม่เลย เพราะผมก็จำไม่ได้ว่าเราทำว่าเราดุเกินไปมั้ย แต่เรารู้ว่าเราทำตามสภาพตอนนั้น นโยบายของผมคือว่าเด็กน่ะยังไงช่วงแรกต้องคับ แต่เมื่อเค้าโตเค้าเริ่มมีเหตุผลตอนนั้นต้องถอยแล้ว ทีนี้ถ้าเรามาฝึกเด็กตอนโตมันมีเหตุผลมาก คุณบังคับเค้ายากเลย มันก็เลยจะสำเร็จาก ผมก็เลยบังคับมากจริงๆ ยอมรับเลย บางครั้งก็ต้องตีเค้า ไม่ตีก็ไม่ได้ ไม่ตีเค้าก็ไม่ทำ..."

นี่คือฉากหลังของ “โปรเม” ที่กว่าจะเดินมาสู่ความสำเร็จ ต้องฟั่นฝ่าอุปสรรคมากมาย กว่าจะมายืนตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกได้

 

จันทรา