สนธิญาณ ชี้!!ดีเบท"จตุพร"ไม่จำเป็น เพราะข้อเท็จจริงมันชัดเจนตามคำพิพากษาศาล ย้ำ!!ไม่โกรธถูกประนามเพราะข่าวที่รายงานเป็นคำพิพากษาตามข้อเท็จจร

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

รายการ สดลึกจริง ช่วง "สถาพรถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ" ประจำวันที่ 14 มิถุนายน 2560 ออกอากาศทางช่อง ไบรท์ทีวี หมายเลข 20 ดำเนินรายการโดย คุณสถาพร เกื้อสกุล ได้สัมภาษณ์คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม (ต้อย) บรรณาธิการอำนวยการ สำนักข่าวทีนิวส์ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

สนธิญาณ ชี้!!ดีเบท"จตุพร"ไม่จำเป็น เพราะข้อเท็จจริงมันชัดเจนตามคำพิพากษาศาล ย้ำ!!ไม่โกรธถูกประนามเพราะข่าวที่รายงานเป็นคำพิพากษาตามข้อเท็จจริง !!!!

                สถาพร : ก็คงจะต้องต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาที่คุณจตุพรนั้นเนี่ย Facebook Live พูดถึงสำนักข่าวทีนิวส์ พูดถึงพี่ต้อย มีถึงรวมในการที่จะท้าพี่ต้อยนั้นดีเบทด้วยกันครับพี่

สนธิญาณ : ผมต้องขออนุญาตเรียนท่านผู้ชมและคุณจตุพรตรงนี้นะครับ มีความเกี่ยวพันเรื่องตัวเองนิดนึงนะครับ ผมเนี่ยเป็นคนที่ไม่เคยถือว่าใครเป็นศัตรู อันนี้เป็นข้อเท็จจริงในชีวิต เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์สอนผมให้มีชีวิตไปสู่วิถีอีกวิถีหนึ่ง ซึ่งประชาชนชาวบ้านทั่วไปยังไม่ได้คิด เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้คิด วันนี้ผมคิดแต่เรื่องพวกนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำอย่างน้อยนะครับวันละสองครั้งคือการแผ่เมตตาให้กับเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลายในทุกๆภพภูมิ เพราะฉะนั้นคุณจตุพรก็เป็นส่วนหนึ่ง คุณอภิสิทธิ์ก็เป็นส่วนหนึ่ง ผมพูดถึงทั้งสองคนเนี่ยนะครับก็เพื่อจะบอกว่าสำนักข่าวทีนิวส์หรือตัวผมหรือเพื่อนร่วมงานทุกคนเนี่ยนะครับ เราเนี่ยถูกด่าจากทั้งสองฝ่ายนะครับ ถามว่าทำไมถูกด่าทั้งสองฝ่ายก็เพราะว่าในทางการเมืองแล้วเนี่ยนะครับในฐานะที่ผมและทีนิวส์ทำหน้าที่สื่อ ก็ไม่ได้เคยคิดว่าคุณจตุพร นปช. คนเสื้อแดงเป็นศัตรู อันนี้เป็นความสัจจริง ไม่ได้เคยคิดว่าคุณอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์เป็นศัตรูนะครับ เราทำหน้าที่ของเรา มีคนที่ว่าเป็นศัตรูมีอยู่กลุ่มเดียวครับ ไม่ใช่ไม่มีเลย ก็คือคนที่คิดโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์และเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผมเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพ่อแม่ ครูอาจารย์ที่บอกว่าศาสนาพุทธ์จะต้องยั่งยืนยาวไปจนครบ 5,000 ปี และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยคือรากฐานอันสำคัญที่จะค้ำยันพระพุทธศาสนาไว้ อันนี้เป็นสิ่งที่จริงจังมากในชีวิตนะครับ ดังนั้นนะครับเวลานี้เราเห็นว่ามีกลุ่มที่ต้องการโค่นล้มสถาบัน วันนี้ติดอาวุธชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนประเทศเป็นสมาพันธรัฐ สหพันธรัฐนะครับ ใช้อาวุธ พวกนี้จะเกี่ยวโยงเชื่อมโยงกับแกนนำนปช.กับเสื้อแดงหรือไม่ แกนนำนปช.รู้ดี ดังนั้นคุณจตุพรจะชวนผมไปพูดไปคุยที่ไหน ก็ด้วยความยินดีครับ แต่ไปในฐานะมิตรในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกัน แต่ในข้อเท็จจริงตรงนี้เนี่ย วันนี้เนี่ยผมจะเรียนให้ชัดเจนก่อนนะครับว่าสิ่งที่เอามารายงานข่าวว่าสิ่งที่คุณจตุพรบอกว่าไม่ได้เป็นคำพิพากษาเนี่ยนะครับ ผมเรียนย้ำว่านี่เป็นคำพิพากษาของศาลฎีกานะครับ ศาลเขาพิพากษาไว้ชัดเจนนะครับว่าผมจะให้คุณจตุพร คำพิพากษามีทั้งสิ้น 22 หน้านะครับ ใน 22 เนี่ยศาลเขาพิพากษาไว้อย่างนี้ครับว่า เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งว่าคดีของโจทก์ทั้งสองไม่มีมูลและพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองสั่งขึ้นพิพากษากลับให้ประทับรับฟ้องไว้พิจารณา ย้ำนะครับ ศาลบอกว่าจึงพิพากษากลับให้ประทับรับฟ้องไว้พิจารณา นี่ชัดเจนนะครับคุณจตุพรครับ ไม่ใช่คำวินิจฉัย ถัดมาก็มาดูนะครับเริ่มตั้งแต่หน้า 6 น่ะ ผมได้เห็นในหน้า 6 นะครับ ในหน้าที่ 6 เนี่ยนะครับ เอาภาพถ่ายตรงคำพิพากษาให้ดูก็ได้นะครับ จะได้เห็นชัด ในหน้าที่ 6 เนี่ยในคำพิพากษาได้เขียนอย่างนี้ครับ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมที่ปรึกษาแล้วตามทางไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่า ย้ำนะครับศาลฎีกาบอกว่าๆได้ประชุมปรึกษาแล้วตามการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความว่าคืออย่างไรล่ะครับ ข้อเท็จจริงที่ได้ความว่าต้องไปดูต่อเนื่องในหน้า 8 หน้า 9 นะครับ ศาลก็พูดว่าในคำพิพากษาบอกว่าชัด เจ้าหน้าที่ทหารได้เคลื่อนกำลังขอคืนพื้นที่บริเวณปะทะกับกลุ่มนปช.ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์และสะพานชมัยมรุเชฐ ต่อมามีการปะทะกันอีกหลายจุด โดยรอบบริเวณสะพาน บริเวณสี่แยกคอกวัว ในตอนค่ำมีชายชุดดำใช้อาวุธปะปนอยู่ในกลุ่ม นปช. และซุ่มอยู่บนอาคารบริเวณดังกล่าว มีการยิงด้วยเครื่องยิงระเบิด M79 จากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย มีเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนเสียชีวิต ในคำพิพากษาตอนนี้นะครับยันเอาไว้ชัดเจนนะครับ บอกแล้วว่าจากการไต่สวนข้อเท็จจริง นี่คือข้อเท็จจริงที่ศาลได้พบว่ามีชายชุดดำเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายปะปนอยู่ในผู้ชุมนุม ผมก็เรียนถามด้วยสามัญสำนึกของท่านผู้ฟังทั่วๆไปล่ะครับว่า ไม่ใช่พวกเดียวกันจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกันวันนี้นะครับ นปช.จะต้องกระชากหน้ากากชายชุดดำกลุ่มนี้เนี่ยนะครับออกมาแจกแจงให้ประชาชนได้รู้นะ แต่ว่าเรามาดูคำพิพากษาในหน้าต่อๆไปนะครับ อย่างในหน้า 14 เนี่ยนะครับได้ระบุไว้ว่า ขณะเกิดเหตุ ณ โจทก์ที่ 1 หมายถึงคุณอภิสิทธิ์นะครับ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์ที่ 2 นายสุเทพ คือหมายถึงคุณสุเทพนะ แต่ศาลเขียนแต่เพียงว่า โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี มีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เพื่อต่อต้านรัฐบาล บีบบังคับให้โจทก์ที่ 1 ยุบสภาหรือลาออก การชุมนุมทำการปิดกั้นกีดขวางการจราจรบนถนน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน มีการใช้อาวุธ และมีกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อสู้เจ้าหน้าที่ทหารที่จะเข้ามาขอพื้นที่คืน ก็บอกแล้วมีกองกำลังติดอาวุธ จะพวกเดียวกันหรือไม่ก็ไปดูกันครับ หน้า 15 เนี่ยนะครับมีเขียนต่อว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสองเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง อันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของโจทก์ทั้งสอง เมื่อมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ทหาร ศาลก็บอกนะมีเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่และกองกำลังติดอาวุธของผู้ร่วมชุมนุม ผมย้ำนะครับ นี่เป็นคำพิพากษาของศาลนะครับ คุณจตุพรไม่ต้องดีเบทเรื่องนี้กับผมหรอกครับ ไว้คุยเรื่องอื่นในฐานะมิตร ในฐานะเพื่อน ในฐานะเพื่อนร่วมชาติร่วมคนไทยด้วยกัน แต่ตรงนี้มันชัดเจนนะครับ ศาลได้เขียนคำพิพากษาเอาไว้แบบนั้น กองกำลังติดอาวุธของผู้ร่วมชุมนุม ส่วนที่ว่า นปช. คุณยิ่งลักษณ์ ทักษิณ พวกเดียวกันหรือไม่ ศาลก็บอกนะคุณยิ่งลักษณ์เนี่ยเป็นน้องคุณทักษิณ เรามาดูที่หน้า 16 คำพิพากษาระบุว่าเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี มีร้อยตำรวจเอกเฉลิมเป็นรองนายกรัฐมนตรี และมีการแต่งตั้งแกนนำกลุ่ม นปช. ที่เข้าร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของโจทก์ที่ 1 และถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีร่วมกันก่อการร้ายเป็นรัฐมนตรีและนักการเมืองหลายคน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์หรือกลุ่ม นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นแนวร่วม ศาลระบุชัดนี่ว่าตั้งเช่นคุณณัฐวุฒิเป็นรัฐมนตรี ตั้งเป็น ส.ส.หลายคนก็เป็น ส.ส. ไอ้แบบนี้ชัดเสียยิ่งกว่าชัดไหมล่ะครับ ศาลบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน เพราะฉะนั้นเนี่ยนะครับจึงจะเรียนว่าข้อเท็จจริงทั้งหลายอันนี้เนี่ยนะครับเป็นการรายงานข่าวตามคำพิพากษาของศาล ส่วนเรื่องคดีผมเนี่ยนะครับก็โดนจริงครับแต่ไม่มีข้อหาก่อการร้ายนะครับ ผมโดนข้อหากบฏนะครับ คุณธาริตตั้งไป ส่วนผมทำพฤติกรรมเป็นกบฏหรือไม่ จะเรียกว่ากบฏตัวหนังสือหรือกบฏน้ำลาย พอจะเรียกได้นะครับ แต่กบฏที่บอกว่าไปทำโน่นทำนี่ นั่นก็ว่าไป ทุกวันผมก็ขึ้นศาลนะครับ ไม่เคยมาเปิดเผย ไม่ได้อับอาย ความจริงเป็นข้อหาที่น่าภาคภูมิใจด้วยซ้ำนะ ส่วนข้อหาที่เหลือ 7-8 ข้อหา แล้วแต่คุณธาริต จะตั้งข้อหาซ่องโจรนะครับ ก็ดูผมคล้ายๆโจร ก็ตั้งกันไป ข้อหาขัดขวางการเลือกตั้ง ผมก็ไปร้องเรียนปกติธรรมดาว่าให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งนะ ไม่ได้ไปขัดขวางหรือตรงไหนนะครับ ที่เหลือก็คือปิดสถานที่ราชการ ก็ชัดเจนครับ ไม่เคยไปปิดที่ไหน ทุกหน่วยงานที่ไปมีการไปพูดคุยกับเจ้าของหน่วยงาน เปิดประตูเชิญเข้าไป แต่ทั้งนี้ทั้งปวงไม่เป็นไรครับ เดินไปในศาล ทำไปในศาล แต่เรื่องนี้นะครับเป็นคำพิพากษาที่ศาลได้ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วได้ความว่าอย่างนี้