ลำดับเหตุการณ์ !?!? ครั้งหนึ่ง “โกตี๋” เคยลั่นต่อสู้กันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน...จนนำมาสู่เหตุปะทะแยกหลักสี่ 1 ก.พ.57(รายละเอียด)

ลำดับเหตุการณ์ !?!? ครั้งหนึ่ง “โกตี๋” เคยลั่นต่อสู้กันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน...จนนำมาสู่เหตุปะทะแยกหลักสี่ 1 ก.พ.57(รายละเอียด)

จากกรณีศาลอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ยกฟ้องมือปืนป๊อปคอร์น หลังจากที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวิวัฒน์ หรือท็อป ยอดประสิทธิ์ หรือ มือปืนป๊อปคอร์น อายุ 27 ปี จำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่า, พยายามฆ่าผู้อื่น, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำอาวุธปืนออกนอกเคหสถานภายในพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8, 72 และ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 5, 6, 11, 18

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า มีประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ คดีนี้โจทก์มีพนักงานสอบสวน ได้สืบสวนทราบว่ามีคนร้ายเกี่ยวข้องกับการยิงรวม 21 คน ในจำนวนนี้มีชายชุดดำคือนายวิวัฒน์ จำเลยคดีนี้รวมอยู่ด้วย ดังที่ปรากฏในภาพนิ่งที่เห็นชายชุดดำในสถานที่และเวลาเดียวกับที่เกิดเหตุหลายภาพ แม้โจทก์จะมีเทปภาพเคลื่อนไหวและภาพถ่ายจากหนังสือพิมพ์ แต่โจทก์ไม่นำสืบถึงความเกี่ยวข้องหรือนำตัวผู้ถ่ายหรือนำประจักษ์พยานมาเบิกความประกอบให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับภาพมาเปรียบเทียบกับจำเลย หลักฐานดังกล่าวจึงไม่อาจยืนยันได้ว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดและตัวจำเลยนั้นเป็นคนคนเดียวกัน มีเพียงคำให้การของจำเลยที่ให้การรับสารภาพ ซึ่งมีพิรุธเคลือบแคลงสงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลย แต่ให้คุมขังไว้ระหว่างฎีกา

ย้อนกลับไปเหตุการณ์ใน วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 จำเลยกับพวกมีปืนเล็กยาวไม่ทราบชนิดและขนาด ติดตัวไปที่ทางแยกหลักสี่ เขตหลักสี่ เป็นพื้นที่ประกาศให้เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และยิงปืนเข้าไปในอาคารศูนย์การค้าไอทีสแควร์
หากย้อนกลับไป สถานการณ์ ช่วงเวลานั้น อีกกลุ่มหนึ่งนำโดยโกตี๋ แกนนำแดง นำมวลชนเสื้อแดง ปักหลักปราศรัยปลุกระดมรอบสุดท้ายที่วัดหลักสี่
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 57 มวลชน กปปส.ที่นำโดย 'พระพุทธะอิสระ' ที่มาชุมนุมหน้าสำนักงานเขตหลักสี่ เพื่อแสดงอารยะขัดขืน ไม่ให้มีการขนหีบเลือกตั้งออกจากสำนักงานเขตหลักสี่
ซึ่งอีกฝั่งคือ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำ คนเสื้อแดง จังหวัดปทุมธานี ประกาศระดมมวลชน นปช.ที่วัดหลักสี่ เพื่อนำกำลังมาเปิดสำนักเขตหลักสี่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถนำหีบบัตรเลือกตั้งออกไปได้

มีรายงานว่า นปช.ได้นัดรวมพลแดงปทุม แดงดอนเมือง แดงหลักสี่ แดงสะพานใหม่ และแดงอิสระ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าดูสถานการณ์เพื่อป้องกันเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย
ต่อมามีกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ลาดพร้าว เคลื่อนมาจาก ถ.วิภาวดีรังสิต มาถึงแยกหลักสี่ แล้วปรากฏว่า ผู้ชุมนุมทั้งสองกลุ่มได้ตะโกนด่า ท้าทายกัน จนเกิดมีเสียงคล้ายระเบิดขึ้นหลายครั้ง แล้วมีคนใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม 
ซึ่งต่อมา ได้มีภาพ บุคคลที่ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงพร้อมสวมถุงป๊อปคอร์นเพื่อให้เก็บปลอกกระสุน โดยยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่ง
ทั้งนี้ มีเหยื่อกระสุนจากเหตุการณ์จลาจลปิดล้อมคูหาเลือกตั้งสำนักงานเขตหลักสี่ ของกลุ่ม กปปส. ใกล้บริเวณสี่แยกหลักสี่ นายอะแกว แซ่ลิ้ว อายุ 72 ปี

ทำให้นายอะแกวถูกกระสุนลูกหลง เข้าที่คอ และนายอะแกว ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อ25ก.ย.2557
ในช่วงเวลานั้นมวลชน ยกย่องมือปืนป๊อปคอร์น  เป็นวีรบุรุษ เพราะหากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีเขาแล้ว ผู้ชุมนุมกปปส.คงจะได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการปะทะดังกล่าว 

ส่วนประเด็นข้อกล่าวหาว่านายโกตี๋ หรือนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี เป็นผู้นำกองกำลังและมวลชนคนเสื้อแดงเข้าปะทะกับกปปส.ที่หลักสี่นั้น เจ้าตัวยังคงออกมาปฏิเสธ โดยได้อ้างว่าตอนนี้กำลังถูกไล่ล่าจึงต้องหลบหนีเพื่อเอาตัวรอด
นายวุฒิพงศ์ ชี้แจงว่าคืนวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมามีชาวบ้านเขตหลักสี่มาขอความช่วยเหลือจากตนและขอออกวิทยุชุมชนเพื่อต้องการเลือกตั้ง เพราะหลวงปู่พุทธอิสสระ แกนนำกปปส.แจ้งวัฒนะ ปิดสำนักงานเขตหลักสี่และจะไปปิดสำนักงานเขตดอนเมือง ทำให้ชาวหลักสี่มาขอให้ตนนำมวลชนไปช่วย ทั้งนี้ชาวดอนเมืองจะไปช่วยชาวหลักสี่แต่ตนห้ามไว้ แต่ให้ยืมรถสถานีวิทยุเคลื่อนที่ติดเครื่องเสียงรวมทั้งกระจายเสียงทางวิทยุของตน
นายวุฒิพงศ์ กล่าวว่า วันที่ 1 ก.พ. ตนไปพบตำรวจเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมที่สน.ดอนเมือง แต่ช่วง 12.00 น. ตนแวะมาพบชาวหลักสี่สักครู่ที่วัดหลักสี่และไอทีสแควร์พร้อมกับตำรวจที่คุมตนมาที่นี่เพื่อให้กำลังใจชาวบ้าน จากนั้นตนก็กลับไปสน.ดอนเมือง โดยตนให้ดาบเปี๊ยกและลุงนวยที่ดูแลพื้นที่ตัดสินใจกันเอง และดาบเปี๊ยกและลุงนวยย้ำว่าจะนำมวลชนเอง เพราะตนไปสอบปากคำต่อ หากตนนำมวลชนรับรองไม่มีเหตุแบบนั้น 
โดยเวลา 16.30 น. ตนให้ปากคำกับตำรวจจนเสร็จสิ้น ยืนยันตนไม่ได้นำมวลชนไปปะทะในวันนั้น ตอนยิงกันนั่นตนก็ยังอยู่กับตำรวจ และทราบทางวิทยุว่าตนนำมวลชนไปปะทะ จากนั้นกปปส.ลาดพร้าวก็นำมวลชนมาปะทะ ต่อมาตนกลับไปเวทีของตนที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติในเวลา 17.30 น. โดยมีนักข่าวบางคนยืนยันได้

แต่ที่แน่ๆแกนนำแดงสายฮาร์ดคออย่างโกตี๋ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมต่อสู้กันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และที่ผ่านมาก็ปรากฏความเคลื่อนไหวในลักษณะการคุกคามมวลชนฝ่ายตรงกันข้ามด้วยความรุนแรง ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจหนีเอาตัวรอดแบบหัวซุกหัวซุน เมื่อรู้สึกกลัวต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

ที่ผ่านมาต้องบอกว่านายโกตี๋ได้พยายามแสดงให้สังคมได้เห็นถึงการต่อสู้ที่กล้าหาญ ไม่หวาดกลัวหรือเกรงกลัวผู้ใด ทั้งการให้สัมภาษณ์และการนำมวลชนไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ