ปลื้มปริ่มที่สุด!! น้ำใจคนไทยหลั่งไหลช่วยครอบครัว 5 พี่น้องอยู่ลำพัง "น้องฟลุ๊ค" น้ำตาซึมขอบคุณทุกจิตศรัทธา เงินกว่าครึ่งล้านเปลี่ยนชีวิต!?!

สืบเนื่องจากการรายงานข่าวของสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของเด็ก  5 ชีวิตที่ต้องอาศัยอยู่ลำพังในบ้านเช่า เพราะพ่อแม่แยกทางกัน โดยแม่ซึ่งไปทำงานในต่างจังหวัดจะส่งเงินมาให้เป็นระยะๆ แต่ก็เป็นจำนวนไม่มากทำให้เด็กทั้ง 5 คนต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก โดยมีเด็กชายวัย 13 ปีในฐานะพี่คนโตต้องทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ดูแลน้องๆ ในเวลาเดียวกัน

 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ร่วมด้วยช่วยแชร์ด่วนๆ!! สุดอึ้งครอบครัววัยละอ่อน5ชีวิตอาศัยบ้านเช่าลำพังเหตุครอบครัวแตกแยก พี่วัยแค่13ปีต้องเป็นทั้งพ่อ+แม่ดูแลน้อง!?!

ล่าสุดปรากฏว่าเมื่อข่าวนี้แพร่หลายออกไป ทำให้หน่วยราชการและผู้มีจิตเมตตาต่างยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนายวินัย โตเจริญ นายอำเภอบ้านกรวดจ.บุรีรัมย์  รวมถึงนางอรภา พุทธจักร ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองบ้านกรวด ,นายพงษ์สิทธิ์ ศิริมาศสกุล นายกเทศมนตรีตำบลตลาดนิคม , จ.ส.อ.โสภาส พิลามา หน.ชุดปฏิบัติการรักษาความสงบเรียบร้อย ร.23 พัน 4  และเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.บุรีรัมย์  ในการเดินทางเข้าไปเยี่ยมพร้อมมอบเงินและสิ่งของให้กับพี่น้องทั้ง  5 คน   

ขณะเดียวกันยังร่วมกันเห็นชอบให้ปิดบัญชีรับบริจาค ภายหลังผู้ใจบุญและผู้มีจิตศรัทธาซึ่งเล็งเห็นความทุกข์ร้อนของครอบครัวเด็กน้อยนี้  ร่วมกันบริจาคเงินจำนวนมากถึง 552,675 บาท  ด้วยเห็นว่ายอดเงินดังกล่าวน่าจะเพียงพอกับค่าใช้จ่ายและการศึกษาของเด็กแล้ว  รวมถึงยังเห็นชอบให้ตั้งกรรมการประกอบด้วย ตัวแทนอำเภอ เทศบาล ผู้ใหญ่บ้าน และด.ช.ศิมนต์ หรือ น้องฟลุ๊ค  ขึ้นมาดูแลการเบิก-จ่ายเงินบริจาคดังกล่าวด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์กับเด็กตามจุดประสงค์ของผู้บริจาค ซึ่งเจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากน้ำตาคลอ  ขอบคุณผู้ใจบุญและผู้มีจิตศรัทธาทุกคน  ที่บริจาคเงินและสิ่งของมาช่วยเหลือพวกตนทั้ง 5 คนพี่น้อง เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่และการศึกษาที่ดี

 

ทางด้าน น.ส.นภัสสร สุขกำเนิด กรรมการหมู่บ้าน  ซึ่งมีส่วนสำคัญในการนำเรื่องราวของเด็กๆ ทั้ง 5 คนเผยแพร่ทางสื่อ เปิดเผยว่า จากยอดเงินบริจาคทางคณะกรรมการได้หารือกันและเห็นชอบร่วมกันว่าให้ปิดบัญชีรับบริจาค เพราะยอดเงินจำนวนดังกล่าวก็เพียงพอที่จะใช้จ่ายและค่าเล่าเรียนของเด็กๆ แล้ว โดยทางคณะกรรมการฯจะร่วมกันช่วยดูแลเรื่องการเบิก-จ่ายเงินด้วย  เพื่อให้เกิดประโยชน์กับเด็กสูงสุด ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกัน ว่าจะดำเนินการอย่างไร  แต่สำคัญที่สุดคือขอเป็นตัวแทนขอบคุณในน้ำใจของผู้ใจบุญทุกคนที่ช่วยเหลือเด็กๆ ด้วย