ย้อนรอยชะตากรรมของพล.อ.ชวลิต  ยงใจยุทธ หลังเลือกทางผิดรับใช้ระบบทักษิณ

จากเหตุการที่มีนายสมชาย  วงสวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งถูกฟ้องร้องในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากการสลายชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อ 7 ตุลาคม 2551  แต่ดูเหมือนว่าบาปในครั้งนี้ กลับมาตกอยู่ที่ พล.อ.ชวลิ ต ยงใจยุทธ ไปเสียได้ เมื่อนายสมชาย อ่านแถลงการว่าตนไม่ใช่ผู้ควบคุมดูแล แต่มอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์แทนตน

      และทั้งหมดนี่ก็คือชะตากรรมของพล.อ.ชวลิต  ยงใจยุทธ “ไม้ใกล้ฝั่ง” ในวัย85ปี  ที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ได้กำลังหยิบยื่นให้ และหากท้ายที่สุดศาลมีคำสั่งพิพากษาว่าจำเลยทั้ง4 มีความผิดจริง  จนนำพาไปสู่การเข้าคุก ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พล.อ.ชวลิต จะได้ออกจากคุกตอนไหนเมื่อไหร่ อย่างไร?

    ทั้งนี้หากพลิกดูประวัติการทำงานของพล.อ.ชวลิต ถือว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ  จนเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ สำหรับการเปลี่ยนบทบาทครั้งใหญ่ ที่ไม่เคยมีผู้นำคนไหนกล้าทำ จาก“นาย” จนกระทั่งถดถอยกลายมาเป็น “ลูกน้อง”

    พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก นายกองใหญ่ ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนที่ 22  ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 – 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ซึ่งขณะนั้นปรากฏชื่อ นายทักษิณ ชินวัตรดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกฯด้วย  และต่อมาพล.อ.ชวลิตก็กลายมาเป็นลูกน้องของนายทักษิณ

    อีกทั้งพล.อ.ชวลิตยังเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  และอีกมากมาย

    เป็นเจ้าของสมญา "ขงเบ้งแห่งกองทัพบก" เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สมาชิกวุฒิสภา ขณะดำรงตำแหน่งทางทหาร เป็นผู้ก่อตั้ง และหัวหน้า พรรคความหวังใหม่ คนแรก และเป็นอดีต ส.ส.หลายสมัย มีคะแนนเสียงหนาแน่นในจังหวัดนครพนม

    หลังเหตุการณ์รัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 พล.อ.ชวลิต พยายามจะเป็นผู้เสนอตัวไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจระหว่างกลุ่มผู้ที่ขับไล่ทักษิณ และกลุ่มผู้ที่สนับสนุนทักษิณ ให้ "สมานฉันท์" กัน โดยเรียกบทบาทตัวเองว่า "โซ่ข้อกลาง" รวมทั้งมีการข่าวว่าอาจจะเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน แต่แล้วตำแหน่งนี้ในที่สุดก็ตกเป็นของสมัคร สุนทรเวช

    ต่อมารัฐบาลสมชาย ด้านพล.อ.ชวลิตได้เข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่เจรจากับฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ และได้กลายเป็นลูกน้องของนายทักษิณอย่างสมบรูณ์แบบ

ในกลางปี พ.ศ. 2552 หลังจากถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในกรณีเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แล้วนั้น พล.อ.ชวลิตก็ได้สมัครเข้าสู่พรรคเพื่อไทย โดยให้เหตุผลว่าต้องการเข้ามาเพื่อสมานฉันท์ โดยไม่ต้องการเป็นคู่ขัดแย้งกับใครและหลังจากนั้นทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีมติให้เขาดำรงตำแหน่งประธานพรรค  

         ในวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553 พล.อ.ชวลิต ขึ้นเวทีของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ โดยประกาศตอนหนึ่งว่า ว่า นายวีระ นายแน่มาก และไม่เคยเห็นมหาชนที่ประกอบภารกิจที่ศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดิน และทำสำเร็จแล้ววันนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะทำอะไรอย่าไปสนใจ

        ต่อมาในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554 ท่ามกลางข่าวลือที่มีมาช่วงระยะหนึ่ง พล.อ.ชวลิตก็ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ คนใกล้ชิดของ พล.อ.ชวลิตอ้างว่า พล.อ.ชวลิตไม่พอใจที่มีสมาชิกพรรคเพื่อไทยบางคนที่เข้าทำกิจกรรมร่วมกับทางแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง และมีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อนหน้านั้นไม่นาน
    ภายหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เขากล่าวให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระวังเกิดปฏิวัติซ้ำ

    ต่อมาในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เขากล่าวตอนนึงว่า การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ทำให้เศรษฐกิจดีหรือไม่นั้นต้องไปถามประชาชนว่ากินอิ่ม นอนหลับหรือไม่ ถ้าหากประชาชนยังไม่มีกินก็ต้องไปแก้ปัญหาตรงนี้ ซึ่งนับเป็นปัญหาของทุกรัฐบาล 

    ในขณะที่ คุณหญิง พันธุ์เครือ ยงใจยุทธ แสดงความเห็นว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีความเคารพ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หลังจากนั้น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศ ตบหน้า วัฒนา เมืองสุข ไม่อาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

    ทั้งนี้ เมื่อช่วงเดือนมกราคม ที่ผ่านมา พล.อ.ชวลิตได้ประสบอุบัติเหตุล้ม ทางแพทย์ได้ทำการรักษาด้วยการฉีกยาละลายลิ่มเลือดที่คลั่งอยู่ในสมองที่ได้รับการกระทอบกระเทือน ทำให้ปลายประสาทขาด้านซ้ายอ่อนแรง ส่งผลให้พล.อ.ชวลิตต้องทำกายภาพบำบัดฝึกเดิน ซึ่งต้องใช้ระยะฟื้นฟูรักษา เป็นผลให้ไม่สามารถมาพบศาลในวันศุกร์ที่ผ่านมา