- 31 ก.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด FB : Deeps News
ท่ามกลางกระแสโลกว่าด้วยเทรนด์การพัฒนาเทคโนโลยี ต้องยอมรับว่ามีหลายสิ่งอย่างที่ชาวบ้านอย่างเรา ๆ คาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นได้ กลับปรากฎเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะพัฒนาการด้านการสื่อสารผ่านโลกโซเชียล ที่ส่งผลโดยตรงต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต อดีตความทันสมัยเดิม ๆ ต้องล้มตายจากไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าอนาคตภายภาคหน้าวิวัฒนาการโลกของเราจะเดินไปถึงจุดไหน อย่างไร ??
รายงานพิเศษชิ้นล่าสุดของ Deeps News วันนี้ เราจะพูดถึงอีกหนึ่งกระแสโลกว่าด้วย ทิศทางอนาคตของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือ เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงนั้น น่าจะถึงเวลาที่ต้องกลายเป็นตำนานภายในอีกไม่น่าจะเกิน 20-30 ปี เพราะตอนนี้หลายประเทศในกลุ่มผู้นำทางด้านเศรษฐกิจโลก เริ่มทะยอยออกประกาศห้ามจำหน่ายรถยนต์ใหม่ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงกันแล้ว อย่างเช่นเยอรมนีจะเริ่มในปี 2030 อังกฤษและฝรั่งเศสตามมาในปี 2040
ส่วนยักษ์ใหญ่อย่างจีนก็เริ่มทยอยเปลี่ยนรถยนต์สาธารณะตามเมืองใหญ่ๆมาเป็นรถไฟฟ้าและขอย้ำว่าเป็นการห้ามจำหน่ายรถยนต์ใหม่ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง แต่ไม่ได้ห้ามรถยนต์ใช้น้ำมันวิ่งใช้งานบนท้องถนนแต่อย่างใด (บางสื่อนำเสนอแบบมั่วๆว่าห้ามนำมาใช้งาน) ??
ในเมื่อตลาดใหญ่ๆพวกนี้ห้ามขายรถใช้น้ำมันรถยนต์ที่จะเข้ามาแทนที่ก็ต้องเป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่มีพัฒนาการมาไกลที่สุด นั่นหมายความว่าเหล่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายน่าจะเริ่มลดงบประมาณในการพัฒนาเครื่องยนต์น้ำมันแล้วหันมาทุ่มเทให้กับพลังงานไฟฟ้าแทน เพราะทิศทางมันชัดเจนแล้วว่าจะไปทางไหนแล้วสำหรับเมืองไทยแลนด์ออฟสมายล์นั้นล่ะจะเป็นยังไงก็ไม่ต้องสงสัยว่าต้องเปลี่ยนไปตามกระแสโลกเช่นกันไม่มีทางทานกระแสนี้ได้ เพราะบรรดาผู้ผลิตเขาเลิกไปแล้วเราจะไปเอารถน้ำมันที่ไหนมาใช้ล่ะแต่การเปลี่ยนแปลงคงไม่รวดเร็วเท่ากับบรรดาประเทศที่เจริญแล้ว
หากรถไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทในบ้านเราจะมีผลกระทบใดบ้าง ที่แน่ๆเริ่มจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์บรรดาผู้ผลิตชื้นส่วนสำหรับเครื่องยนต์อย่างเช่น หม้อน้ำ , ลูกสูบ , เกียร์ , ท่อไอเสียฯลฯ พวกนี้ตายสนิทแน่นอนถัดมา คือผู้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่คงถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมโหฬารส่วนใหญ่รถไฟฟ้ามักจะจอดชาร์จในบ้านหรือตามห้างตามตึกใหญ่ๆได้ไม่ต้องอาศัยสถานีบริการยกเว้นถ้าเทคโนโลยีไปทาง Fuelcell ที่ใช้เติมไฮโดรเจนแล้วเปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้าในการขับเคลื่อนก็จะยังคงมีทางออกอยู่บ้างต่อมาเป็นชาวบ้านอย่างเราๆคือบรรดาอู่ซ่อมรถยนต์ที่ต้องเตรียมพลิกตัวจากการทำงานกับเครื่องยนต์เชื้อเพลิงมาเป็นทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าหรืองานอิเล็กทรอนิกส์แทนส่วนพวกทำช่วงล่างแอร์ระบบไฟฟ้าซ่อมสีและตัวถังพวกนี้ยังอยู่ได้เพราะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมายนัก
ด้วยเหตุนี้การเตรียมรับมือในบ้านเราต้องทำอย่างเป็นระบบขนานใหญ่เริ่มตั้งแต่วางรากฐานในสสถานศึกษาด้านอาชีวะที่ต้องรีบวางหลักสูตรรองรับ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ รวมไปถึงต้องรับมือกับการว่างงานจากผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ปรับตัวไปต่อไม่ได้ อย่าลืมว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่เรามองข้ามไม่ได้ เพราะเราเคยตั้งเป้าว่าจะเป็นดีทรอยต์แห่งเอเซีย แต่เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจบ้านเรามีปัญหาแน่ ๆ เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ มีความเกี่ยวเนื่องกับคนเป็นจำนวนมากในบ้านเรา ตั้งแต่ เจ้าของโรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วน คนงานโรงงาน ผู้แทนจำหน่าย พนักงานขาย ช่างซ่อมในศูนย์บริการ ผู้จำหน่ายอุปกรณ์ต่อเนื่อง อย่างเช่น ฟิลม์กรองแสง ยางรถยนต์ แบตเตอรี่ น้ำมันเครื่อง ฯลฯ ไปจนถึง ผุ้ค้ารถยนต์มือสอง คิดคร่าว ๆ น่าจะมีคนเกี่ยวข้องกันหลายแสนคน หรืออาจจะถึงล้านด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นการมาของ รถพลังงานไฟฟ้าครั้งนี้สั่นสะเทือนพลิกโฉมหน้าเศรษฐกิจบ้านเรารุนแรงไม่ธรรมดาแน่นอน !!!