เกมส์การเมืองไม่เลิก??!!หลังนปช. ยื่นรื้อคดีสลายการชุมนุมปี53 ทั้งที่ป.ป.ช. ยกคำร้องคดีนี้ไปแล้วตั้งแต่ธ.ค.58

เกมส์การเมืองไม่เลิก??!!หลังนปช. ยื่นรื้อคดีสลายการชุมนุมปี53 ทั้งที่ป.ป.ช. ยกคำร้องคดีนี้ไปแล้วตั้งแต่ธ.ค.58

หลังจากที่แกนนำนปช.กำลังพยายามรื้อคดีสลายการชุมนุมเมื่อช่วงปี2553 โดยมีการยื่นคำร้องต่อ สำนักงานอัยการสูงสุด และ ปปช. หลังศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ อดีตผู้อำนวยการศอฉ. หรือ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยศาลได้วินิจฉัยว่า คดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใช่ ศาลอาญา 

แต่ขณะเดียวกันหลายคนอาจลืมว่า เมื่อวันที่29 ธันวาคม 2558 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช.  ได้เคยมีมติยกคำร้องกรณีที่ขอให้ถอดถอน นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอดีตนายกรัฐมนตรี  

นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี  และ พล.อ อนุพงษ์  เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก  ว่าปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มนปช.ในวันที่ 10 เมษายน ถึง วันที่ 19 พฤษภาคม  2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก  ไปแล้ว

 

 

 

 

 

โดยตามเอกสารข่าวของป.ป.ช.ระบุเหตุผลการยกคำร้องไว้ว่าจากการไต่สวนของป.ป.ช.ได้พบข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุที่มีการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ในระหว่างวันที่10 เมย.-19 พ.ค.2553 นั้น อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง  

ซึ่งปรากฎข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลแพ่งเมื่อวันที่ 6 เมย.2553 ว่า การชุมนุมของกลุ่มนปช.มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ. และมีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ศอฉ.ต้องใช้มาตราการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว  หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์  หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่1433/2553    

อย่างไรก็ตามแม้คำสั่งที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตนเองได้ จะเป็นไปตามหลักสากลก็ตาม แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการใช้อาวุธปืนตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นตามความจำเป็น  และพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นภาระที่หนักและยากอย่างยิ่งในการปฎิบัติ  แต่เจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าวได้  หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต  เลือกปฎิบัติ  และเกินสมควรแก่เหตุ หรือ เกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ อันเป็น  ความรับผิดเฉพาะตัว

เช่นเดียวกับนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่จะต้องรับผิดในกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า  รู้ว่าเจ้าหน้าที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนได้ใช้ หรือ อยู่ระหว่างใช้กำลังบังคับ และ อาวุธปืนโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วไม่ดำเนินการยับยั้ง ป้องกัน และรายงานเหตุดังกล่าว

ซึ่งคดีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มนปช. เมื่อปี 2553. ในเหตุการณ์เดียวกันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษด้วย  จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิต และบาดเจ็บดังกล่าว รวมถึงนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่  ซึ่งไม่ใช่บุคคลตามมาตรา 66 ให้ดีเอสไอ ดำเนินการต่อไป ตามพ.ร.บ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ 2542 มาตรา 89/2

 

 

     ส่วนประเด็นการกล่าวหานาย อภิสิทธิ์  นาย สุเทพ และ พล.อ อนุพงษ์ กับ พวก กรณีละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น   จากการไต่สวนปรากฎข้อเท็จจริงว่า  ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมย.2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ.ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่  โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตราการตั้งด่านตรวจ หรือ จุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ  เพื่อให้ ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง  โดยการปฎิบัติในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง  แต่ในวันที่  19 พ.ค.2553 เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยไม่ได้มีการผลักดันต่อผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์โดยตรง แต่เป็นการกดดันต่อกองกำลังติดอาวุธที่ยึดสวนลุมพินีอยู่  ซึ่งการปฎิบัติในการกระชัยพื้นที่สวนลุมพินี ในวันที่ 19 พ.ค.2553 เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน  โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมออกไปจากพื้นที่ก่อน  หลังจากประกาศแล้วเจ้าหน้าที่จึงเข้าไป  ดังนั้นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน  ยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 กับพวก ได้ปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์  หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด  คณะกรรมการป.ป.ช.จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาที่มีทั้งหมดตกไป

และจากการที่ป.ป.ช.เคยยกคำร้องในคดีดังกล่าวนี้มาแล้วนี่เอง จึงน่าสนใจกับความพยายามของนปช.ที่กำลังต้องการให้มีการรื้อคดีนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า เพื่ออะไรกันแน่??