- 23 ก.ย. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th
จากกรณีเมื่อวันที่22 ก.ย.60 ที่ลานหน้ากรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เขตบางเขน กองทัพภาคที่ 1 นำโดย พล.ต.ณัฐวัฒน์ อัคนิบุตร ที่ปรึกษาอนุกรรมการจัดขบวนในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช นัดหมายทุกหน่วยปฏิบัติในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 1-2-3 กว่า 20 หน่วยงาน ร่วม 2,000 คน เข้าร่วมฝึกซ้อมเสมือนจริง ทั้งนำอุปกรณ์จริงที่ใช้ในพระราชพิธีทั้งหมดเข้าร่วมฝึกซ้อม เช่น เครื่องสูง กลองชนะ สำหรับราชรถราชยานใช้พระยานมาศสามลำคานจำลอง รถบรรทุกทหารขนาด 4 และ 10 ตัน ทดแทนราชรถพระนำ และพระมหาพิชัยราชรถ ราชรถปืนใหญ่องค์ซ้อม
ทั้งนี้นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้ออกมาโพสต์ข้อความพร้อมภาพในการฝึกซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ โดยได้ชื่นชมถึงนายทหารที่นำการฝึกซ้อม นั่นคือ พล.ต.ณัฐวัฒน์ อัคนิบุตร ซึ่งเป็นลูกชายพล.อ. พัฒน์ อัคนิบุตร อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขุนพบผู้ภักดีแผ่นดิน เนื้อหาทั้งหมดที่ระบุไว้มีดังนี้
“ลูกชาย พล.อ. พัฒน์ อัคนิบุตร ขุนพลผู้ภักดีแผ่นดิน กำลังออกคำสั่งในการซ้อมเคลื่อนริ้วขบวนพระอิสริยยศเมื่อวานนี้
ในขณะที่ลูกชาย พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ คือแม่ทัพภาค1 กำลังรับผิดชอบภารกิจสำคัญทั่วพื้นที่รับผิดชอบ
ในอดีตสองพ่อเป็นเพื่อนรักดุจพี่น้องร่วมสาบานและเป็นกำลังของแผ่นดินยามวิกฤติหลายหน
ในปัจจุบันสองลูกก็เป็นกำลังของแผ่นดินและคือนายทหารผู้จงรักภักดีตามรอยพ่อ
เห็นภาพนี้ก็ภูมิใจแทนพี่พัฒน์ หากวิญญาณพี่พัฒน์ สามารถรับรู้ได้ก็คงภูมิใจที่ลูกชายมีโอกาสได้ถวายการรับใช้ส่งเสด็จในครั้งนี้”
ก่อนหน้านี้ นายไพศาล เคยออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีการควบคุมตัว นายวัฒนา ภุมเรศ วัย62 ปีที่ได้ก่อเหตุวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยอยากให้คนไทยขอบใจผู้ที่ตัดสินใจบุกเข้าจับกุมนายวัฒนา ก่อนที่จะไปก่อเหตุร้ายวางระเบิดที่โรงพยาบาล อันเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดทีดังนี้
ภูมิใจแทนพี่จ๊อด!!!
คนใจชั่วยิ่งกว่าไอซิส บังอาจวางระเบิดโรงพยาบาล
วางระเบิดห้องวงษ์สุวรรณเป็นสัญลักษณ์ตี คสช.
จะไปวางระเบิดต่อที่ศิริราช มหิดล และอีกโรงพยาบาลสำคัญ มันมุ่งตึกไหน ห้องไหน สัญลักษณ์อะไร
มันมุ่งทำร้ายใจคนทั้งชาติ
คนไทยต้องขอบใจคนกล้าตัดสินใจจับก่อนก่อเหตุใหม่
เดชะบุญบ้านเมืองศักดิ์สิทธิ์ ตรวจค้นจับหลักฐานเพียบจนต้องจำนน
ระวังกำลังจะรับเหมาว่าทำคนเดียว เพื่อตัดตอนผู้ร่วมแก๊งอั้งยี่
ระวังหวยจะออกว่า เป็นคนเสียสติเช่นเดียวกับคนทุบพระพรหม ฯลฯ
มันเตี๊ยมกันเยี่ยมมากนะ
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบพบเอกสารที่ชื่อว่า “สรุปการสัมภาษณ์ พลเอกพัฒน์ อัคนิบุตร ตามโครงการคลังปัญญายุทธศาสตร์ ของสถาบันวิจัยทางยุทธศาสตร์ และชมรมยุทธศาสตร์”ซึ่งเป็นหน่วยงานของ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ(สปท.) กองบัญชาการทหารสูงสุด อันเป็นหน่วยบังคับบัญชาของ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) วิทยาลัยเสนาธิการทหารและสถาบันวิจัยทางยุทธศาสตร์ โดยสถาบันวิจัยทางยุทธศาสตร์ ยังมีการแยกแขนงออกไปอีกหลายส่วน ซึ่งเอกสารนี้ได้กล่าวนำว่า “เรื่องราวที่บันทึกสรุปต่อไปนี้ อาจถือได้ว่าเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์การเมือง การทหารที่สำคัญ ซึ่งเป็นทั้งความลับและเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของประเทศชาติที่เกิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2521 แต่ได้ถูกนำมาเปิดเผย เมื่อปี พ.ศ. 2536 ”
ทั้งนี้ความลับที่ว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองและการทหารที่สำคัญ เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของประเทศชาตินั้น ได้ถูกระบุและบันทึกไว้ว่า “หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน” เป็นผู้รายงานเปิดเผยความลับนั้น ดังข้อความที่ปรากฏคือ“หัวหน้าชุดสัมภาษณ์ (พลโทบุญเยี่ยม สาริมาน) ได้อ่านพบบทความคอลัมน์ จับตาสมการในกองทัพ เขียนโดย ปรีชา กุลปรีชา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 15, 16 และ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2536 ได้กล่าวถึงสภาสงครามว่า” และได้กล่าวถึงข้อความที่ปรากฏใน นสพ.ผู้จัดการรายวัน ตามลำดับ และมาถึงความสำคัญว่า
“ในบทความเรื่องนี้ ได้มีการกล่าวถึงนายทหารไทย 3 นายคือ พลโทผิน เกสร พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ พันเอกพัฒน์ อัคนิบุตร ได้เดินทางไปพบผู้นำจีน คือ ฯพณฯ เติ้ง เสี่ยวผิง ที่นครปักกิ่ง หลังจากการพบปะครั้งสำคัญนี้ มีผลทำให้ยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก กล่าวคือ ประเทศไทยเป็นฝ่ายที่ชนะโดยไม่ต้องรบ และสามารถรักษาอธิปไตยของชาติไว้ได้ในที่สุด
พลโทผิน เกสร ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้า โดยมี พันเอกพัฒน์ อัคนิบุตร หัวหน้าฝ่ายข่าว ศูนย์อำนวยการร่วม และพันเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้ากองยุทธการ กรมยุทธการทหารบก ร่วมคณะไปเจรจาการเมือง การทหารกับจีน”