Market Outlook 4Q60

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tnew.co.th

ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คาดการณ์ภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 4 ปี 2560   คาด SET แกว่งSideway to Sideway Up ประเมินกรอบแนวต้านบริเวณ 1700 จุด และรับ 1640 จุด โดยมีปัจจัยผลักดันจาก

·         ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศ EM

·         แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯที่ไม่เร่งตัวขึ้นเร็ว ขณะที่เงินเฟ้อโดยรวมยังคงอยู่ในระดับต่ำ เป็นปัจจัยหนุนทิศทาง Fund Flow อยู่ในกลุ่มประเทศ EM ต่อเนื่อง

·         สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีทิศทางที่ดีขึ้นในทุกภาคส่วน นำโดย ภาคท่องเที่ยวไทยที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเร่งตัวขึ้น 4 เดือนติดต่อกัน สู่ระดับใกล้เคียงจุดสูงสุดในช่วงเดือน มค. 2017 โดยหากพิจารณาเป็นรายประเทศจะพบว่า สัญญาณการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน มีการฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนทางด้านทิศทางการส่งออก ก็มี sentiment บวกเช่นเดียวกัน โดย พบว่ายอดการส่งออกเดือน สค. สามารถขยายตัวได้ถึง 13.2%YoY  ส่วนในแง่มุมการบริโภค ก็เริ่มมีสัญญาณที่ดี นำโดย ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวขึ้นในเดือน สค. เป็นเดือนแรก หลังจากหดตัว เดือนติดต่อกัน โดยจากการลองสอบถามบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งใน เชิงของ same store sale growth (%SSSG) ก็เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงไตรมาส ดังนั้นจึงเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมหนุนแนวโน้ม GDP ยังขยายตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ทางด้านการลงทุนภาคเอกชน พบว่า ดัขนีความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจ สามารถปรับขึ้น 3 เดือน ติดต่อกัน เช่นเดียวกับ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เดือน สค. ขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือน

·         คาดเม็ดเงิน LTF/RMF จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยผลักดันตลาดปรับตัวขึ้นเพิ่มเติมได้ในช่วงปลายปี

Risk   

·         นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ US เช่น นโยบายภาษี ซึ่งหากสามารถขับเคลื่อนได้ อาจส่งผลต่อ Fund Flow ไหลกลับ แต่อย่างไรก็ดีเม็ดเงินดังกล่าวก็คาดจะไม่มีนัยสำคัญมากนัก เนื่องจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าจากต่างชาติในช่วงก่อนหน้าไม่ได้มีขนาดมากมายนัก

·         แนวโน้มค่าเงินดอลล่าร์ ที่อาจกลับมาแข็งค่า หลังช่วงที่ผ่านมาค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการพลิกกลับของค่าเงิน อาจกระทบต่อทิศทาง Fund Flow ได้บ้าง

Investment Strategy

ประเมิน SET target 12 เดือนข้างหน้าที่ระดับ 1712 จุด อิง PE Ratio ที่ระดับ 16 เท่า โดยสำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ สลับมาสะสม Domestic Plays มากขึ้น โดยเน้นกลุ่มค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยวกำลังเข้าสู่ช่วง High Season (Touristic & consumption benefit) เช่น CPALL, BJC, HMPRO, ROBINS*, CPN ผสานกลุ่มที่ยังคงมี earning momentum เชิงบวกในช่วง 2H60 เช่นกลุ่ม Finance (SAWAD, KTC), Petrochem (IVL, PTTGC), Healthcare (BDMS, BCH, RJH*), Media (VGI, PLANB*, MACO), Property (SPALI, LPN, WHA*)