- 12 ต.ค. 2560
ติดตามรายละเอียดที่นี่ http://www.tnews.co.th
เป็นเรื่องราวที่แม้จะผ่านไปสักกี่ปีก็ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำอันดีงามของพสกนิกรผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ เมื่อ นายดาว งอวอ หรือ ปู่ดาว อายุ 94 ปี อดีตผู้ป่วยโรคเรื้อน ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเคยสัมผัสตัวโดยไม่รังเกียจ ได้เล่าเหตุการณ์แห่งความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือนในครั้งนั้นได้ว่า สมัยก่อนตนและเพื่อนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมาก มีแต่คนรังเกียจ ญาติพี่น้องก็ทอดทิ้ง มีชีวิตอยู่แบบขมขื่น
ตอนนั้นได้เบี้ยเลี้ยงจากทางหลวง วันละ 5 บาท ซึ่งไม่เพียงพอในการประทังชีวิต เพราะจำนวนเงินที่ได้รับมา ต้องกิน ต้องใช้ ตอนนั้นจึงปรึกษากับเพื่อนว่าจะถวายฎีกา หวังพึ่งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพราะขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้ไปหลายหน่วยงานก็ไม่มีใครสนใจ ตนจึงเขียนข้อความบรรยายความยากลำบากที่ต้องเจอไป 2 หน้ากระดาษ ใช้เวลาเขียน 3 วัน
กระทั่งวันที่ 16 มกราคม 2522 เวลาประมาณ 12.00 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ มาที่สถาบันราชประชาสมาสัย จังหวัดสมุทรปราการ แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่ให้เข้าใกล้พระองค์ท่าน เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินผ่านตนและเพื่อน ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรดีที่จะได้ถวายฎีกากับพระองค์ท่าน จึงตะโกนออกไปว่า "ขอถวายฎีกาครับผม" ทันใดนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินกลับมาหาตน พร้อมตรัสถามอย่างเป็นกันเองว่ามีอะไรเดือดร้อน
ปู่ดาว เล่าต่อว่า วินาทีนั้นตกใจมากเพราะไม่เคยเข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ซึ่งพระองค์ท่านก็ตรัสต่อว่า ไม่ต้องกลัว พูดช้าๆ หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยพูด มีอะไรเดือดร้อน ตนจึงรวบรวมสติแล้วกราบทูลว่า เบี้ยเลี้ยงที่ได้รับนั้นไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต พระองค์ท่านจึงตรัสว่าจะเพิ่มให้อีก 5 บาท ตนจึงพนมมือไหว้เหนือหัว พร้อมบอกว่า แค่พระองค์ให้เพิ่มแค่เพียงหนึ่งบาทก็ดีใจแล้ว
แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นสิ่งที่ตนไม่คาดคิดเลย เมื่อพระองค์ท่านทรงเอื้อมพระหัตถ์มาจับมือซ้ายที่พิการของตน โดยไม่มีท่าทีรังเกียจ และตรัสถามว่า มือเป็นเช่นนี้ กินข้าวกินปลาอย่างไร ตนจึงได้ตอบไปตามประสาชาวบ้าน พระองค์ก็แย้มพระสรวลเล็กน้อย และเมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินต่อ ทรงหันหลังกลับมาพร้อมตรัสว่า มีอะไรเดือดร้อนก็บอกนะ ฉันจะช่วย ไม่ต้องกลัว ได้ยินเช่นนั้นตนก็ปลื้มใจเป็นอย่างมาก
พอเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ตนถวายฎีกา ฟ้าที่เคยมืดมิดก็กลับมาสว่างเปรียบเสมือนได้ชีวิตใหม่ ไม่มีคนดูถูกรังเกียจตนเหมือนที่ผ่านมา ความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีเจ้าหน้าที่มาดูแลอาการ และมาตรวจรักษาอาการให้จนหาย ทุกวันนี้ที่พวกตนได้อยู่ดีกินดีก็เพราะบุญคุณของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านเป็นเหมือนเทพเจ้าองค์หนึ่งที่มาประทานชีวิตใหม่แก่ผู้ป่วยโรคเรื้อน
"เมื่อทราบว่าพระองค์ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัย ก็ได้แต่ร้องไห้ เพราะพระองค์ท่านได้มีการสานโครงการต่าง ๆ ไว้มากมาย รวมถึงโครงการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อน ตนซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระองค์ท่านอย่างหาที่เปรียบมิได้ ตอนนี้ตนก็ 94 แล้ว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไหน แต่ตั้งใจไว่ว่าจะทำความดีเพื่อเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทจนกว่าชีวิตจะหาไม่..." ปู่ดาว กล่าว
ทั้งนี้ พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีมากมายเหลือคณานับ โดยย้อนกลับไปสมัยปี พ.ศ.2498 ในสมัยนั้นการแพทย์ไทยยังไม่ก้าวหน้าและประชาชนยังเข้าไม่ถึงระบบการสาธารณสุขได้ดีพอ มีผู้ป่วยโรคเรื้อนมากมายที่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีจนกระทั่งจากเดิมป่วยแค่ระยะแรกๆกลายเป็นเข้าสู่ระยะท้ายๆ มีผื่นผิวหนังเต็มตัว หูหนาตาเร่อ ปากจมูกแหว่ง นิ้วมือนิ้วเท้ากุด ทุพพลภาพ ซึ่งเป็นที่รังเกียจและโดนกีดกันจากสังคม และยากต่อการควบคุมแยกโรคเพื่อรักษาได้อย่างเป็นระบบ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงตระหนักถึงปัญหาผู้ป่วยโรคเรื้อนในไทย ทรงรับงานด้านการรักษาป้องกันโรคเรื้อนให้เป็นโครงการในพระราชดำริให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดงานปราบโรคเรื้อน เกิดโครงการควบคุมโรคเรื้อนแบบใหม่ที่มุ่งค้นหาและรักษาผู้ป่วยตามบ้านที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และดำเนินการให้การรักษาที่บ้านเพื่อลดผลกระทบทางครอบครัวของผู้ป่วย
และทรงพระราชทานพระราชทรัพย์จากทุนอานันทมหิดลเพื่อเป็นทุนในการก่อสร้างอาคารวิจัยและฝึกอบรมวิชาการสร้างเป็น สถาบันราชประชาสมาสัย ขึ้นที่โรงพยาบาลพระประแดงเดิม เมื่อปี พ.ศ.2503 นอกจากนี้ยังทรงให้การสงเคราะห์ดูแลลูกหลานของผู้ป่วยโรคเรื้อนด้วยการให้จัดตั้งสถานเลี้ยงดูเด็ก และโรงเรียนราชประชาสมาสัย เพื่อให้เติบโตและอยู่ร่วมในสังคมได้
โดยชื่อ ราชประชาสมาสัย นี้ เป็นนามพระราชทาน มีความหมายคือ “พระมหากษัตริย์ และประชาชนย่อมอาศัยซึ่งกันและกัน”
นับจากจุดเริ่มต้นนั้นเองส่งผลให้กระทรวงสาธารณสุขและภาคประชาชนสนองพระราชดำรินำไปสู่การค้นหาและดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อนอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ มีการวิจัยโรค มีการพัฒนาการให้ยารักษาที่มีประสิทธิภาพ จนในปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนลดลงจากในอดีตคือผู้ป่วย 50 คนต่อประชากร 10,000 คนในปี พ.ศ. 2496 มาเป็น 0.07 คน ต่อ 10,000 คนในปี พ.ศ. 2558
นอกจากนี้ไทยยังเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถควบคุมโรคเรื้อนบรรลุเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537
ชมคลิปรายการที่นี่
ขอบคุณที่มา : รายการทุบโต๊ะข่าว AMARIN TVHD , คลิปวิดีโอ user CHUTHAMAT KAEWSURIYAN