ศึกปตท.+ปาล์มอินโดไม่จบง่าย!! “นิพิฐ”ยื่นศาลปราบโกง! ชี้ “สุภา” ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ??(รายละเอียด)

ติดตามรายละเอียด FB : Deeps News

กลับมาเป็นกระแสข่าวต่อเนื่อง  สำหรับข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตโครงการปาล์มอินโดนีเซีย ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 พ.ย.  ที่ผ่านมา นายนิพิฐ  อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี จำกัด (PTTGE)  ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางสาวสุภา ปิยะจิตติ หนึ่งในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในข้อหาหรือฐานความผิด เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ทั้งนี้รายละเอียดคำร้อง ระบุว่าเนื่องจากนางสาวสุภา เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีที่นายนิพิฐ ถูกกล่าวหาคดีทุจริตโครงการปาล์มนํ้ามัน ของกลุ่มบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่ประเทศอินโดนีเซีย และได้เป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปสอบสวนข้อเท็จจริง โดยมีนางรสยา เธียรวรรณ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาและเป็นจำเลยที่นายนิพิฐ ฟ้องฐานทุจริตในโครงการ และเป็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่  ซึ่งได้ร้องทุกข์ต่อ ป.ป.ช.ไปแล้ว    ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23  พ.ค.  2556   เนื่องจากเดินทางไปอินโดนีเซียในช่วงระยะเวลาเดียวกับคณะข้าราชการป.ป.ช.

ประเด็นสำคัญคือการให้นางรสยา  ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาและเป็นจำเลยในคดีอาญา  เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการสอบสวนพยาน   และเดินทางไปอินโดนีเซียในช่วงระยะเวลาเดียวกับคณะสอบสวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช.  โดยที่ทราบอยู่แล้วว่านางรสยามีคดีถูกกล่าวหาอยู่  จึงเป็นการเปิดเผยความลับทางราชการให้บุคคลภายนอกรับทราบ และช่วยเหลือให้ผู้กระทำผิดไม่ให้ต้องถูกลงโทษ และช่วยเหลือโดยตรงแก่นางรสยา กับพวกในการสร้างพยานหลักฐานเท็จในอินโดนีเซีย ทำให้นายนิพิฐ ได้รับความเสียหาย

 

อีกทั้งเมื่อวันที่  4   สิงหาคม  2560   นางรสยามีพฤติกรรมติดสินบนผู้ร่วมลงทุนในโครงการ  พีที.เคพีไอ   โดยได้นำถุงสินบนมอบให้กับนายบูลฮันนุดดิน   ซึ่งถือเป็นพยานปากสำคัญเพื่อให้พยานบิดเบือนข้อเท็จจริง   ก่อนที่เจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ซึ่งนำโดยนางสาวสุภา   และคณะจะเดิน ทางไปสอบสวนข้อเท็จจริงกับนายบูลฮันนุดดิน  ในวันที่  7  ส.ค.  2560

 

 

นอกจากนี้นางสาวสุภา  ยังได้เข้าสอบปากนายบูลฮันนุดดิน    ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนที่จะมีการสอบสวน เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ได้ส่งคำถามล่วงหน้าให้นายบูลฮันนุดดินผ่านหน่วยงาน KPK (ป.ป.ช.ประเทศอินโดนีเซีย) เพื่อให้พยานตอบคำถามหลายคำถาม  แต่ปรากฎว่าวันสอบสวนข้อเท็จจริงกลับถามคำถามเพียงไม่กี่คำถาม  โดยมีการละเว้นไม่ได้ถามประเด็นสำคัญแห่งคดี

 

ต่อมาเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 คณะ ป.ป.ช.ได้บันทึกคำให้การไว้เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ลงนาม เมื่อนายบูลฮันนุดดิน ตรวจสอบข้อความในเอกสารก่อนลงลายมือชื่อปรากฏว่าเอกสารที่คณะ ป.ป.ช.ได้จัดเตรียมมานั้น กลับไม่ใช่คำตอบที่นายบูลฮันนุดดิน เคยตอบและเคยให้การไว้กับคณะ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2560 โดยมีข้อความหรือถ้อยคำถูกแต่งเพิ่มเติมขึ้นมาจากที่เคยให้การไว้ และข้อ ความดังกล่าว ได้ใส่ร้ายป้ายสีปรักปรำนายนิพิฐ และผู้อื่นซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ สร้างความไม่พอใจให้นายบูลฮันนุดดิน เป็นอย่างมาก จึงไม่ยอมลงลายมือชื่อ และได้เชิญเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ออกจากสำนักงาน จนกระทั่งในวันที่ 11 สิงหาคม 2560 นางรสยา ก็ได้เดินทางกลับจากอินโดนีเซีย ด้วยสายการบินเที่ยวเดียวกับเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.

 

 จากกระบวนการไต่สวนคดีทุจริตโครงการปาล์มนํ้ามันอินโดนีเซีย ตั้งแต่แรกในชั้นอนุกรรมการไต่สวน จนมาถึงปัจจุบัน ได้มีการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับคณะกรรมการป.ป.ช.ที่ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า มีกลุ่มบุคคลที่ทำให้เกิดความเสียหายที่แท้จริงต่อ ปตท. และ PTTGE ไม่น้อยกว่า 12 ครั้ง แต่นางสาวสุภา ได้เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด เป็นเหตุให้นายนิพิฐ ต้องฟ้องคดีอาญาต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางถึง 5 คดี

 

นอกจากนี้ กรณีที่นางรสยา ได้นำส่งถุงสินบนมอบให้นายบูลฮันนุดดิน นายนิพิฐได้ยื่นหนังสือถึงนางสาวสุภา ถึง 3 ฉบับ เพื่อให้ดำเนินการสอบนางรสยา และเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ที่เกี่ยวข้อง แต่ปรากฏว่านางสาวสุภา ได้เพิกเฉยไม่ดำเนินการใดๆ อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ได้กำหนดการเข้าสู่ตำแหน่งของ ป.ป.ช.เอาไว้  ปรากฏว่านางสาวสุภา ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ตํ่ากว่า อธิบดีหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการ ป.ป.ช. การที่นางสาวสุภา ปิยะจิตติ ที่มีลักษณะต้องห้ามเป็น ป.ป.ช. ไม่มีวุฒิภาวะและความสามารถพอมาปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการยุติธรรม