ขอคืนความเป็นธรรม..!! "พระพยอม"  เหลืออดโดนโกงซื้อที่ดิน #โฉนดถุงกล้วยแขก ฮึดร้องเพจดังฝากถึงผู้ใหญ่ฟ้องศาลฎีกา นำวินิจฉัยซ้ำข้อกฎหมาย!?

ติดตามรายละเอียดที่นี่ http://www.tnews.co.th

กลายเป็นประเด็นที่พูดถึงอีกครั้งหลังจากที่เคยตกเป็นข่าวโด่งดังหลายปีก่อน กรณีพิพาทเรื่องที่ดินซึ่งถือครองโดยมูลนิธิสวนแก้วกับเจ้าของที่เดิม โดยเจ้าของที่เดิมเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเจ้าของใหม่ (ซึ่งได้ที่ดินมาโดยการครอบครองปรปักษ์) ผู้ที่ขายที่ดินให้มูลนิธิสวนแก้ว ในราคา 10 ล้านบาท เป็นจำเลยที่ 1 และ มูลนิธิสวนแก้วเป็นจำเลยที่ 2 เพื่อให้เพิกถอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา ที่อยู่หน้าวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ก่อนที่ศาลได้มีคำพิพากษาให้เจ้าของเดิมเป็นฝ่ายชนะ เมื่อปี 2557 ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เคยออกออกมาตำหนิถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ดิน

 

ขอคืนความเป็นธรรม..!! "พระพยอม"  เหลืออดโดนโกงซื้อที่ดิน #โฉนดถุงกล้วยแขก ฮึดร้องเพจดังฝากถึงผู้ใหญ่ฟ้องศาลฎีกา นำวินิจฉัยซ้ำข้อกฎหมาย!?

พระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี

 

ขอคืนความเป็นธรรม..!! "พระพยอม"  เหลืออดโดนโกงซื้อที่ดิน #โฉนดถุงกล้วยแขก ฮึดร้องเพจดังฝากถึงผู้ใหญ่ฟ้องศาลฎีกา นำวินิจฉัยซ้ำข้อกฎหมาย!?

พระพยอม นำสำเนาโฉนดที่ดินมาพับเป็นถุงกล้วยแขก

เมื่อล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก แหม่มโพธิ์ดำ ได้รับการร้องขอความเป็นธรรมจากพระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ถึงกรณีข้อพิพาทดังกล่าว พบว่าวัดสวนแก้วได้รับคำสั่งไม่ชอบทางกฎหมาย ไม่มีการตรวจสอบที่มาให้ชัดเจนนำมาเป็นหลักฐานพยาน ทำให้ผู้บริสุทธิ์ สุจริตชนต้องเสียหายหมดกรรมสิทธิ์โดยไร้การเยียวยา โดยระบุเรื่องราวทั้งหมดนี้ว่า

"#พระพยอมร้องขอความเป็นธรรม #หรือวัดสวนแก้วจะเจอยึดที่ดิน
เจริญพรโยมควีน

วันนี้มีกรณีน่าอาภัพที่สังคมควรช่วยกันตรวจสอบคืนความเป็นธรรมแก่ชนผู้บริสุทธิ์เป็นสุจริตชน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 วัดสวนแก้ว ได้รับคำสั่งไม่ชอบทางกฎหมาย เป็นกรณีให้สังคมศึกษาว่า ยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง มีการใช้หลักฐานอะไรก็ได้ ไม่ต้องตรวจสอบที่มาให้ชัดเจนนำมาเป็นหลักฐานพยาน ใช้เป็นบรรทัดฐานทางคดีฟ้องร้อง ทำให้ผู้บริสุทธิ์ สุจริตชนต้องเสียหายหมดกรรมสิทธิ์โดยไร้การเยียวยา ถึงแม้จะมีหลักฐานทางคดีใหม่ของวัดที่ยึดหลักกรรมสิทธิ์อันสุจริต

 

ในปี 2547 ที่วัดได้ซื้อที่ดิน แล้ววัดก็ถือครอบครองโดยชอบธรรมในส่วนของวัด เพราะได้ไปซื้อขายบนกรมที่ดินต่อเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ทำการโอนให้กรรมสิทธิ์เรามา โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริต จ่ายภาษีเข้ารัฐถูกต้อง เมื่อนำมาใช้ประโยชน์เผยแผ่-พัฒนา-สงเคราะห์ผู้ยากไร้ที่พึ่งในสังคมผู้เดือดร้อนไม่มีที่พักที่ทำกินให้มีสัมมาชีพ ได้ประมาณประมาณปีกว่า แล้วในภายหลังผู้ขายให้วัด ได้ไปยินยอมความกันให้อีกฝ่ายคู่กรณีในที่ดินแปลงใหญ่ ในปี 2549 ก็มีการอาศัยศาลเป็นเครื่องมือและช่องทางกฎหมายในการเรียกที่ดินคืนโดยการตัดฟ้องระงับข้อพิพาทรื้อคดีนำเอกสารพยาน ระยะเวลาอะไรที่พบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางฉ้อฉลได้กรรมสิทธิ์ไป

 

ในปี 2559 วัดสวนแก้วก็ได้เก็บข้อมูลที่ชอบด้วยกฏหมายมาร้องครอบครองปรปักษ์เป็นคดีใหม่ โดยชั้นต้นสรุปวัดก็ถือครอบครองโดยไม่สุจริต ให้ความเป็นจริงที่แตกต่างจากกรณีศึกษาคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๘๒๑/๒๕๕๖ เมื่อมีการเลิกบริษัทจำกัดและผู้ชำระบัญชีได้ยื่นขอจดทะเบียนต่อทางการภายใน 14 วัน นับแต่วันเลิกบริษัทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1254 แล้ว ย่อมทำให้สภาพความเป็นนิติบุคคลของบริษัทสิ้นสุดลง รวมทั้งกรรมการบริษัทย่อมไม่มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทได้อีกต่อไป เว้นแต่กรรมการบริษัทนั้นเป็นผู้ชำระบัญชีด้วย จึงจะมีอำนาจกระทำการแทนบริษัทต่อไปในฐานะผู้ชำระบัญชี ตามมาตรา 1252

 

ดังนั้น เมื่อบริษัท ส. เลิกกันและมีการตั้งจำเลยที่ 1เป็นผู้ชำระบัญชีโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว อำนาจของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทย่อมหมดไป และอำนาจจัดการแทนบริษัท ย่อมตกเป็นของจำเลยที่ 1 ผู้ชำระบัญชี การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท อีกต่อไป ได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่างานก่อสร้างซึ่งบริษัท (มูลนิธิ) จะได้รับจากจำเลยที่ 3 ในนามของบริษัท ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าบริษัท ได้โอนสิทธิเรียกร้องให้แก่โจทก์ แล้ว โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับจำเลยที่ 3 ให้รับผิดต่อโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้ชำระบัญชีของบริษัท มีหน้าที่ตามมาตรา 1250 คือชำระสะสางงานของบริษัทให้เสร็จไปกับจัดการใช้หนี้เงินและจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทเท่านั้นหาได้มีบทบัญญัติใดโดยตรงให้ผู้ชำระบัญชีต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในหนี้สินของบริษัท ที่ตนเป็นผู้ชำระบัญชีค้างชำระบุคคลภายนอกอยู่ไม่ ประกอบกับเมื่อบริษัท ส. ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะขณะที่ทำสัญญาบริษัทได้จดทะเบียนเลิกบริษัทไปก่อนแล้ว จึงไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลอีกต่อไป สัญญาจึงไม่มีผลผูกพันบริษัท ส. และโจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ในฐานะผู้ชำระบัญชีอีกด้วย

ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)ประกอบมาตรา 246 และ 247 จึงเป็นกรณีให้สังคมผู้คิดผู้สร้างความยุติธรรมศึกษามาเข้าใจกัน ขอเจริญพร

พระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว นนทบุรี"

 

ขอคืนความเป็นธรรม..!! "พระพยอม"  เหลืออดโดนโกงซื้อที่ดิน #โฉนดถุงกล้วยแขก ฮึดร้องเพจดังฝากถึงผู้ใหญ่ฟ้องศาลฎีกา นำวินิจฉัยซ้ำข้อกฎหมาย!?

ขอคืนความเป็นธรรม..!! "พระพยอม"  เหลืออดโดนโกงซื้อที่ดิน #โฉนดถุงกล้วยแขก ฮึดร้องเพจดังฝากถึงผู้ใหญ่ฟ้องศาลฎีกา นำวินิจฉัยซ้ำข้อกฎหมาย!?

ขอคืนความเป็นธรรม..!! "พระพยอม"  เหลืออดโดนโกงซื้อที่ดิน #โฉนดถุงกล้วยแขก ฮึดร้องเพจดังฝากถึงผู้ใหญ่ฟ้องศาลฎีกา นำวินิจฉัยซ้ำข้อกฎหมาย!?

ขอคืนความเป็นธรรม..!! "พระพยอม"  เหลืออดโดนโกงซื้อที่ดิน #โฉนดถุงกล้วยแขก ฮึดร้องเพจดังฝากถึงผู้ใหญ่ฟ้องศาลฎีกา นำวินิจฉัยซ้ำข้อกฎหมาย!?

ขอคืนความเป็นธรรม..!! "พระพยอม"  เหลืออดโดนโกงซื้อที่ดิน #โฉนดถุงกล้วยแขก ฮึดร้องเพจดังฝากถึงผู้ใหญ่ฟ้องศาลฎีกา นำวินิจฉัยซ้ำข้อกฎหมาย!?

 

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณี นายจำนง หิรัญประดิษฐ์ และพวก ทายาทของ นางทองอยู่ หิรัญประดิษฐ์ ยื่นฟ้องศาลนนทบุรี กล่าวหาว่า การครอบครองที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 52 ตารางวา ของ นางวันทนา สุขสำเริง และมูลนิธิสวนแก้ว ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมูลนิธิสวนแก้วคัดค้าน ว่า ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจาก นางวันทนา อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยพระพยอม ระบุว่า เคยซื้อที่ดินมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาบางใหญ่ ได้ออกโฉนดให้อย่างถูกต้อง ก่อนที่ศาลพิจารณาจากหลักฐานแล้วตัดสินให้การครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนางวันทนา เป็นโมฆะ โดยตัดสินให้เพิกถอนการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยที่ 1 คือ นางวันทนา สุขสำเริง และจำเลยที่ 2 คือ มูลนิธิสวนแก้ว โดยให้กรรมสิทธิ์ที่ดินกลับไปเป็นของ นางทองอยู่ หิรัญประดิษฐ์ ตามเดิม ก่อนที่พระพยอม กลฺยาโณบมอบโฉนดถุงกล้วยแขกคืนกรมที่ดินเพื่อร่วมแก้ไข และยุติข้อพิพาท กรณีซื้อขายที่ดินมูลนิธิวัดสวนแก้ว

 

 

ก่อนหน้านั้นศาลจังหวัดนนทบุรี  ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่ นายจำนง หิรัญประดิษฐ์ และพวก ทายาทของ นางทองอยู่ หิรัญประดิษฐ์ ยื่นฟ้องศาลนนทบุรี กล่าวหาว่า การครอบครองที่ดินของ นางวันทนา สุขสำเริง และมูลนิธิสวนแก้ว ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมูลนิธิสวนแก้วคัดค้าน ว่า ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจาก นางวันทนา อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งพระพยอม ระบุว่า เคยซื้อที่ดินมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาบางใหญ่ ได้ออกโฉนดให้อย่างถูกต้อง

ต่อมา ศาลจังหวัดนนทบุรี ได้ตัดสินให้เพิกถอนการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยที่ 1 คือ นางวันทนา สุขสำเริง และจำเลยที่ 2 คือ มูลนิธิสวนแก้ว โดยให้กรรมสิทธิ์ที่ดินกลับไปเป็นของ นางทองอยู่ หิรัญประดิษฐ์ ตามเดิม พร้อมทั้งให้จ่ายค่าทนายเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท

ภายหลังจาก นายจำนง หิรัญประดิษฐ์ และพวกได้ร้องคัดค้านต่อศาลเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2546 ว่า การครอบครองที่ดินเลขที่ 8215 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 52 ตารางวา ที่ นางวันทนา สุขสำเริง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และครอบครองปรปักษ์ไม่ถูกต้อง ซึ่ง นางวันทนา ได้ขายที่ดินให้แก่มูลนิธิสวนแก้ว จำนวน 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา ต่อมา ศาลพิจารณาจากหลักฐานแล้วตัดสินให้การครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนางวันทนา เป็นโมฆะ

 

ขอคืนความเป็นธรรม..!! "พระพยอม"  เหลืออดโดนโกงซื้อที่ดิน #โฉนดถุงกล้วยแขก ฮึดร้องเพจดังฝากถึงผู้ใหญ่ฟ้องศาลฎีกา นำวินิจฉัยซ้ำข้อกฎหมาย!?

 

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เป็นธรรม  ที่พระพยอมและวัดสวนแก้วถูกกระทำจากบุคคลภายนอก   แต่ท้ายสุดเมื่อวันที่  30 ส.ค. 2557  พระพยอมก็ยินยอมมอบโฉนดที่ดินคืนแก่กรมที่ดิน  ผ่านทางด้านนายพีระศักดิ์  หินเมืองเก่า  อธิบดีกรมที่ดินในขณะนั้น  แต่ลักษณะโฉนดที่ดินถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นถุงกล้วยแขก  ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบในเชิงประชดประชันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

 

cr. FB แหม่มโพธิ์ดำ