- 21 ม.ค. 2561
ติดตามรายละเอียด Facebook : Deeps News
ถือเป็นข่าวใหญ่ในวงการสื่อสารมวลชน จากข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณะว่า บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย มีมติแต่งตั้ง “สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” ให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค. 2561 เป็นต้นมา
แน่นอนเป็นปรากฎการณ์ที่น่าสนใจว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรสำหรับสื่อยักษ์ใหญ่ อย่าง “เครือเนชั่น” ทิศทางขององค์กรจะเดินไปสู่จุดใด ภายใต้คณะกรรมการชุดใหม่ ที่มีชื่อ “สนธิญาณ” ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวไอเอ็นเอ็นและสำนักข่าวทีนิวส์ ร่วมอยู่ในคณะกรรมการชุดดังกล่าว ในขณะที่ธุรกิจสื่อกำลังถดถอยและ"เครือเนชั่น" เองกำลังวิกฤติหนักจนผู้บริหารเดิมต้องกระโดดเรือหนีองค์กรที่สร้างมากับมือไป โดยทิ้งหนี้ก้อนใหญ่ไว้ให้เป็นภาระ ตามข้อมูลปรากฎเป็นข่าวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
เมื่อย้อนวัดจากประสบการณ์การทำงานด้านสื่อสารมวลชนกว่า 30 ปีที่ผ่านมาของ “สนธิญาณ นับแต่เริ่มต้นเป็นผู้สื่อข่าวภาคสนาม จนกลายเป็นผู้บริหารองค์กรสื่อที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง เพราะมีมุมมองการบริหารธุรกิจสื่อที่ก้าวล้ำนำกระแสอยู่ตลอดเวลา
ย้อนรอยเส้นทางการทำงานด้านสื่อสารมวลชน ของ“สนธิญาณ” เริ่มต้นจากฝึกทำข่าวกับ "ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์" ซึ่ง"สนธิญาณ"ถือว่าเป็นครูของเขา ที่นิตยสาร"อาทิตย์"และ"ข่าวพิเศษ"และเริ่มเป็นนักข่าวเต็มตัวที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในฐานะนักข่าวปกติธรรมดา แต่ด้วยขีดความสามารถทำให้เขาก้าวสู่ตำแหน่ง หัวหน้ากองบรรรณาธิการ ควบคุมการผลิตข่าวสถานีโทรทัศน์ชั้นนำแห่งหนึ่งของปรเทศ ในวัยเพียง 28 ปี ก่อนจะมาร่วมทุนกับ"ชัชรินทร์"อีกครั้งทำ“ข่าวพิเศษ" และดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ
แต่ความสำเร็จจริงๆ ที่ทำให้ชื่อของ “สนธิญาณ” เริ่มรู้จักในวงกว้างมากขึ้น คือการที่เขา"ปฏิวัติ"วงการข่าววิทยุ โดยการจัดตั้งสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น (INN) สร้างต้นแบบสถานีข่าวทางวิทยุ 24 ชั่วโมงเป็นคนแรกของประเทศไทยจนโด่งดังไปทั่วประเทศ
รวมถึงยังเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งสถานีวิทยุ"ร่วมด้วยช่วยกัน"เพื่อบริการสังคมเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้กำลังใจผู้คน รู้จักแบ่งปันน้ำใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามแนวคิดที่ว่า “สังคมดี คนมีน้ำใจ” จนกลายเป็นต้นแบบให้กับสถานีวิทยุแนวสร้างสรรค์สังคมในยุคต่อๆมา ที่สำคัญ ทั่ง 2 สถานีได้รับความนิยมสูงสุด จนโฆษณาเต็มล้นประสบความสำเร็จทางธุรกิจ จนค่ายใหญ่ต้องเดินตามแม้แต่"เนชั่น"
ไม่เท่านั้น “สนธิญาณ” ยังนำพาองค์กรข่าว “ ไอเอ็นเอ็น” ก้าวข้ามยุคข่าวสารที่ผู้บริโภคต้องรอคอยเวลาเข้าถึงข่าวสาร เป็นการนำข่าวสารส่งถึงตัวผู้บริโภคโดยตรง ผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือ โดยการคิดค้นการให้บริการข่าวแบบ SMS ร่วมกับ" สมชัย เลิศสุทธิวงศ์"แห่ง AIS ซึ่งในระยะเวลานั้น โทรศัพท์มือถือกำลังเป็นเทคโนโลยีสื่อสารใหม่สำหรับคนไทย จนสร้างปรากฏการณ์ทางธุรกิจข่าวสาร ที่ทำกำไรให้กับ ”บริษัทไอเอ็นเอ็น มัลติมีเดีย” หลายร้อยล้านบาทในช่วงเวลาไม่กี่ปี ประเด็นสำคัญถือเป็นการตอบโจทย์โลกข่าวสารที่ต้องการความฉับไว ทันสถานการณ์อย่างแท้จริง
ก่อน “สนธิญาณ” จะแยกตัวมาเปิดสำนักข่าวใหม่ในชื่อ “สำนักข่าวทีนิวส์” มีจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจข่าวสารทั้ง SMS และ คิดค้นให้บริการใหม่เพิ่มขึ้นเรียกว่า MMS ซึ่งเป็นการบริการข่าวสารที่มีทั้งเนื้อหาและภาพ ประกอบ ผ่านโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งยังขยายธุรกิจสื่อไปสู่การเปิดช่องสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ในชื่อ “ทีนิวส์ ทีวี” ยืนหยัดชัดเจนในการพิทักษ์ ปกป้องสถาบันเบื้องสูง และรุกรบต่อสู้ทางความคิดกับกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาบั่นทอนทำลายความสามัคคีคนในชาติ ทั้งการทุจริตคอร์รัปชั่น และการแสวงหาผลประโยชน์จากการกำหนดนโยบายแห่งรัฐ ซึ่งหลายคนเรียกว่า “ระบอบทักษิณ”
อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่ง “สำนักข่าวทีนิวส์” ก็ต้องเผชิญหลากหลายปัญหา แต่ด้วยแนวทางที่ยืนหยัด ชัดเจน และมุมมองด้านการข่าว ภายใต้หลักคิด “ปัญญา อิสระ ทันสถานการณ์” ก็ทำให้ “ทีนิวส์ ทีวี” กลายเป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ที่มีเรทติ้งเป็นอันดับ 1 หลายเดือนต่อเนื่อง
แต่ที่สุดด้วยอุดมการณ์ในการต่อสู่กับ"ระบอบทักษิณ" จึงถูก"สุเทพ เทือกสุบรรณ" ขอร้องให้มาร่วมเคลื่อนไหวในนาม "กปปส. เพื่อเผด็จศึก"ระบอบทักษิณ" จน "คสช."เข้ายึดอำนาจ และสั่งปิด"สถานี ทีนิวส์ทีวี" ทำให้รายได้จากโฆษณาที่เคยหล่อเลี้ยงสถานีต้องกลายมาเป็น"สูญ"บาทขาดรายได้มาหล่อเลี้ยงธุรกิจ “สนธิญาณ” เลือกจะไม่ทอดทิ้งพนักงานทุกชีวิต ด้วยการรักษาสถานภาพรายได้ไว้เหมือนเดิมทุกบาทสตางค์ จนเป็นที่มาของหนี้สินที่พอกพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมๆกับการผลักดันให้ "สำนักข่าวทีนิวส์ "เดินเข้าสู่ดิจิตอลเต็มรูปแบบ โดยการผลิตข่าวสารนำเสนอผ่านเวปไซด์ เฟสบุ๊ก และ เครือข่ายโซเชียลทั้งหมด
และในยุคทีวีดิจิตอล “สำนักข่าวทีนิวส์” ยังคงได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ผลิตข่าวสารทางโทรทัศน์ ผ่าน “สถานีไบรท์ทีวี” และ “สปริงนิวส์ ทีวี” โดยมี “สนธิญาณ” เป็นแม่ทัพสำคัญในการกำหนดทิศข่าวและการก้าวต่อไปในเชิงธุรกิจขององค์กร จนปัจจุบันมีรายได้ต่อปีเกือบ 200 ล้านบาท
จนทำให้วันนี้ "สำนักข่าวทีนิวส์" กลับมายืนหยัดอยู่ได้โดยสามารถทำกำไรเลี้ยงองค์กรได้ โดยการปิด "สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ทีนิวส์ทีวี" เพราะเห็นว่าหมดยุคหมดเวลาแล้ว
แม้จะถูกซ้ำเติมจากผู้คนในวงการสื่อ ว่าเวลาของ"สนธิญาณ" จบแล้ว แต่เพียงปีเศษๆ "สำนักข่าวทีนิวส์" กลับมายืนได้ ในขณะที่สื่ออื่นๆ อยู่ในภาวะทดถอยและวิกฤติ
แต่สิ่งที่มากกว่านั้น คืออุดมการณ์อันแน่วแน่ของ “สำนักข่าวทีนิวส์” และที่ลืมไม่ได้ก็คือแรงสนับสนุนจาก “ฉาย บุนนาค” กัลยาณมิตรทั้งทางโลกและทางธรรม ที่ข้ามาโอบอุ้มให้กู้เงินโดยไม่คิดดอกเบี้ยในยามที่มีปัญหาสุดๆ จนทำให้เขาตั้งสัจจะวาจาว่าจะตอบแทนทน้ำใจที่ “ฉาย บุนนาค” จุนเจือ “สำนักข่าวทีนิวส์” ให้สามารถผ่านพ้นภาวะวิกฤตมาได้ ในทุกรูปแบบในสิ่งท่ี"ชอบประกอบด้วยธรรม" ตามวิสัยของลูกผู้ชายของ"สนธิญาณ"
จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของ"สนธิญาณ"กับ "ฉาย"นั่นคือเรื่อง "ธรรมะ" ทั้งคู่เดินสายทำบุญในแนวทางวัดป่า ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ จน"ฉาย"ประกาศกับ"สนธิญาณ"ว่าเลิก "เทรดหุ้น" เพื่อยุติคำครหาต่างๆ จะเดินเข้าสู่การบริหารธุรกิจในกลุ่มอย่างเต็มตัว
ท้ายสุดเมื่อ “ฉาย บุนนาค” ประกาศเป็นผู้นำทัพ บมจ.นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น (NEWS) ด้วยตัวเอง “สนธิญาณ” จึงตัดสินใจนำ “สำนักข่าวทีนิวส์” เข้าเป็นส่วนหนึ่งในองค์ธุรกิจสื่อชั้นนำอย่าง บมจ.นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น และรวมถึงจัดสรรเวลาที่ตั้งใจจะมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมมาช่วยเหลือผู้มีพระคุณ ในการเข้าทำหน้าที่เป็นกรรมการบมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย ด้วยจุดประสงค์เดียวคือการทำให้ บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กลับมาแข็งแรงในเชิงธุรกิจ และมีศักยภาพสูงสุด สำหรับการเป็นองค์กรสื่อที่มีคุณภาพเหมือนท่ีเคยเป็นมา
คนใกล้ชิดรู้ว่า "สนธิญาณ" นั้นเข้าสู่ทางธรรมมาเกือบ 20 ปีแล้วและยืนยันตลอดมาว่าอยากหลุดพ้นในชาตินี้ไม่อยากเวียนเกิดเวียนตายอีกแล้วจึงวางแผนที่จะวางมือตลอดมา เมื่อเมื่อปีทีผ่านมาได้ตั้ง "ฉัตรชัย ภู่โคกหวาย" มือขวาขึ้นเป็นกรรมการผู้อำนวยการ และ "กิ่งการะเกด " ลูกสาวเป็นกรรมการผู้จัดการ
ก็ต้องจับตาดูว่าภารกิจสุดท้ายของชีวิต"สนธิญาณ" คือร่วมกอบกู้"เครือเนชั่น" นั้นจะสำเร็จหรือไม่??!!