เสรีภาพติดคอ!! มีที่ไหนอ้าง"สิทธิเสรีภาพ" ให้ร้ายคนอื่น!! อ้างเป็นความชอบธรรม?? ยุคเสื่อม "ชาญวิทย์"??!!

จากการนัดรวมตัวของกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย  โดยมี”จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และนายรังสิมันต์ โรม เมื่อวันเสาร์ ที่27 ม.ค ที่ผ่านมา โดยมีประชาชนเข้าร่วมกว่า 200 คน  การนัดรวมตัวครั้งนี้มีจุดประสงค์ โดยสรุปเพื่อต้องการขับไล่คสช.และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ทำตามโรดแมปเดิม คือจะมีการเลือกตั้ง ในช่วงพ.ย. นี้  และประกาศจะทำการรวมตัวจัดกิจกรรมดังกล่าวในวันที่ 10 ก.พ. อีกครั้ง

 

 ล่าสุดได้มีความเคลื่อนไหวจากฝั่ง คสช. โดยพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฎิบัติหน้าที่หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมายส่วนงานการรักษาความสงบแห่งชาติ รับมอบอำนาจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สมัคร ปัญญาวงศ์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ปทุมวัน เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับ 1.นายรังสิมันต์ โรม 2.นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ 3.น.ส.ณัฎฐา มหัทธนา 4.นายอานนท์ นำภา 5.นายเอกชัย หงส์กังวาน 6.นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ 7.นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน หลังจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวออกมาเคลื่อนไหว

 

กองกำลังรักษาความสงบ กองทัพภาคที่ 1 ได้รายงานให้ คสช.ทราบ ซึ่ง คสช.เห็นว่า การปราศรัยดังกล่าวเป็นการชุมนุมกันเกิน 5 คนในที่สาธารณะ เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งและเป็นการกระทำด้วยวาจาอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่อง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ออกหมายเรียกกลุ่มบุคคลดังกล่าวมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

ทั้งนี้ตามที่เรียนไปตั้งแต่ข้างต้น เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป ว่าจุดประสงค์หลักนั้นก็คือการขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ให้พ้นจากตำแหน่ง โและต้องการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว   พร้อมกับตั้ง 4 เงื่อนไขในการนัดหมายรวมพลประชาชนรอบใหม่ในวันที่ 10 ก.พ.

 

ก็คือเรียกร้องให้ มีการยกเลิกข้อหากระทำการผิด  พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ต่อนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ให้กรณีโพสต์ข้อความบิดเบือนข้อเท็จกระเป๋าถืออ.น้อง หรือนางนราพร จันทร์โอชา ภริยาของพล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีหัวหน้า คสช.

 

 

โดยวันนี้เอง (31 ม.ค. 2561)  จะเป็นวันที่นายชาญวิทย์ จะเข้ารับฟังข้อกล่าวหาที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ศูนย์ราชการ เวลา 13.00 น. ตั้งแต่ปรากฏเป็นข่าวคราวใหญ่โต ขึ้นมา นายชาญวิทย์ ได้ออกมายืนยันความบริสุทธิ์ใจของตนมาโดยตลอด และเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ได้กระทำไปนั้น ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม และยืนยันที่จะพิสูจน์ความถูกต้อง ในสิทธิ เสรีภาพ และความชอบธรรมในการแสดงความคิดเห็น

 

มักจะได้ยินข้ออ้าง คำว่าสิทธิและเสรีภาพ จากคนกลุ่มนี้แทบทุกครั้งที่ออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งการแสดงความเห็นโดยทั่วไป เป็นสิทธิที่เพิ่งมี ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้  และเสรีภาพใน การแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามกติการ่วมกัน แต่การแสดงความคิดเห็นหมิ่นประมาท กล่าวให้ร้าย บิดเบือนข้อมูลจากความเป็นจริง เพื่อสร้างความเกลียดชัง  เช่นนี้เข้าข่ายกระทำความผิดหรือไม่?  มีที่ไหน..ใช้เสรีภาพไปว่าร้ายคนอื่น  ใช้เสรีภาพของตัวไป สร้างแรงเหวี่ยง กระทบคุกคามเสรีของผู้อื่น  แบบนี้เรียกว่า “เสรีภาพ”อยู่หรือ?? แล้วแบบนี้จะเรียกว่า ความบริสุทธิ์ใจในการแสดงความคิดเห็น ได้หรือไม่??

 

ตามรัฐธรรมนูญ ...เสรีภาพ หมายถึง การใช้สิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างอิสระ  แต่ทั้งนี้จะต้องไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่น ซึ่งหากผู้ใดใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขตจนก่อความเดือดร้อนต่อผู้อื่น ก็ย่อมถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

แน่นอนการโพสต์ดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับอ.น้อง  ทั้งทางตรงและทางอ้อม เสียหายเพราะ นายชาญวิทย์เอง เป็นทั้งนักวิชาการ ดีกรีระดับดร. เป็นถึงอดีตอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  มีหน้าตาในสังคม และชัดเจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป และด้วยปัจจัยหลายๆอย่างที่กล่าวถึงและไม่ได้กล่าวถึง ส่งผลให้ นายชาญวิทย์ เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ มีความรู้

 

 ดังนั้นเมื่อทำการโพตส์ หรือแสดงความคิดเห็นอะไรออกไปแล้ว  ได้มีผู้ติดตาม เข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างมากมายทั้งร้ายและดี ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลายคนใช้ถอยคำที่หยาบคายและรุนแรงอย่างมาก อีกทั้งโพสต์ดังกล่าวได้ถูกแชร์ต่อๆๆกันไปเป็นจำนวนมาก เพราะมีชื่อนายชาญวิทย์ เป็นตัวการันตี!!

 

ขณะที่นายชาญวิทย์เอง ผู้ได้รับสมยาว่า เป็นทั้งนักประวัติศาสตร์ - นักวิชาการด้านการเมือง  แต่กลับไม่ทำการสืบค้น ตรวจสอบ ข้อเท็จจริง เปรียบคือนิสัยของนักประวัติศาสตร์ อีกทั้งเมื่อความจริงปรากฏขึ้น ส่ิงที่นายชาญวิทย์กล่าวหานั้น ไม่ใช่เรื่องจริง แต่นายชาญวิทย์กลับไม่รับความผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังพูดแบบไม่ละอายว่า มีเจตนาบริสุทธิ์ ในการวิพากษ์ครั้งนี้

 

 

จึงเกิดคำถามขึ้นอีกว่า  หากนาย”ชาญวิทย์” เป็นนักประวัติศาสตร์  และมีอุปนิสัยเฉพาะตัวจริง!! อย่างเช่น “การขุดคุ้ยแสวงหาความจริงความถูกต้อง” ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเป็นนักประวัติศาสตร์  ถึงไม่มี และทำไมการแสดงความคิดเห็นกรณีกระเป๋าถืออ.น้อง ถึงไม่ยอมสือเสาะหาข้อเท็จจริงให้ดีเสียก่อน จะนำมาเผยแพร่ 

 

หรือเพราะอคติวิจารณ์นำหน้าปัญญา หลับหูหลับตาสื่อสาร สักแต่จะโจมตี ไร้ซึ่งเหตุผล อคติทางความคิด นำพามาซึ่งความเสื่อม กัดกินใจตัวเอง จึงเกิดเหตุการณ์ เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น และเป็นผลที่จะทำให้ “ชาญวิทย์” ตายน้ำตื้นได้?!