ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมายได้ที่ https://www.facebook.com/partiharn99/

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และท่านผู้อ่านทั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๓ เป็นวันบันทึก แต่ท่านจะอ่านเมื่อไร จะฟังเมื่อไรเป็นเรื่องของท่าน ตอนนี้ก็มาคุยกันเรื่อง ผีวัดบางนมโค ต่อ และการที่บรรดาท่านทั้งหลายฟังมาแล้ว คงจะคิดว่า ผู้พูดเก่งมากไม่กลัวผี ความจริงถ้ามีความรู้สึกตามนั้น ก็ขอบอกบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทราบว่า ความกลัวผีมีเป็นปกติ และก็มีจริง ๆ ไม่ใช่มีหลอก ๆ หากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ในเมื่อถูกผีหลอก ทำไมถึงทนได้

ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายทราบถึงนิสัยของผู้พูด นิสัยของผู้พูดมีอยู่อย่างหนึ่ง คือว่า เดินข้างหน้า คำว่า ถอยหลัง ไม่มีมีศัพท์เดียวว่า สู้ ไม่ถอย ถึงแม้ว่าจะสู้ไม่ได้ ก็สู้ ถ้าหลบไม่ได้ ถ้าหลบได้ ก็หลบ ถ้าหลบไม่ได้ ต้องสู้ และการสู้ ไม่มีคำว่า ถอย ถึงแม้ว่าจะต้องเสียชีวิตก็ยอม และอีกคำหนึ่งมีคำว่า ไม่สามารถในชาตินี้จะไม่มีสำหรับเรา นั่นก็หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเราจะทำ ต้องคิดว่า เราทำได้ ถ้าสิ่งใดมันเกินวิสัย สิ่งนั้นเราก็ไม่ทำ แต่ถ้าลองทำแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จ จะไม่เลิก อันนี้เป็นนิสัยประจำใจ ฉะนั้นการถูกผีหลอก ไม่ใช่กลัว กลัว ถ้าถามว่า กลัวแล้วทำไมจึงไม่ถอย ก็ขอตอบอีกคำถามหนึ่งว่า คนอย่างผู้พูด มีนิสัยตามชาวบ้านเขาเรียก บวม ๆ บ้า ๆ บางครั้งก็บวม บางครั้งก็บ้า คำ บวม ก็คือ ฮึดสู้ บ้าตีดะ สู้ดะ

ก็มาคุยกันต่อไป บรรดาผีทั้งหลาย ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นไม่ใช่เธอทำเพียงแค่นั้น แล้วก็เลิก เธอไม่เลิก เธอรบกวนทุกวัน เป็นอันว่า ทุกวัน ตอนเย็นจะขึ้นไปกุฏิหลังนั้น ก็มีการพบเหตุการณ์ปกติ นั่นคือ เสียงแกคุยกันบ้าง กระโดดโลดเต้นบ้าง แต่มองไปเห็นตัว ผู้พูดก็ไม่มีอะไรมากนอกจากหวายตีผีของหลวงพ่อปานให้ไว้หนึ่งอัน เวลาเอารัดประคตคาดพุงก็คาดกับรัดประคต ทีนี้ติดตัวเลย จะตื่นอยู่หรือจะหลับอยู่ก็ตาม ใช้หวายตีผีติดตัวเข้าไว้ ในเมื่อหวายตีผีติดตัวเข้าไว้ เป็นหวายของหลวงพ่อปาน ผีก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้

พระแท้เท่านั้น...ที่จะอยู่รอด !!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำ...เล่า "ผีสาวประจำกุฏิ" หากภิกษุคิดไม่ชอบ บวชมาหวังลาภยศ โดนหลอกจนจับไข้ทุกราย !!!

รวมความว่า ในสมัยนั้นทั้งพระทั้งฆราวาส เขาก็มีความรู้สึก เอากันส่วนมาก ก็มีความรู้สึกว่า ผู้พูดเป็นคนบ้า ๆ บวม ๆ บางคนก็หาว่า ไอ้นี่มันบ้า บางคนก็หาว่า ไอ้นี่มันบวม นี่เฉพาะพระนะ แต่พระบางองค์ท่านก็ดี ท่านเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดมีอยู่รักมาก เห็นใจมาก มีอยู่

ต่อมาก็จะเล่าเรื่องผีให้ฟังอีกตอนหนึ่ง คือว่า บรรดาผีทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อเธอล้อเธอเล่น มันไม่มีผล ต่อมาก็มาปรากฏมีผีที่น่ารักอยู่ ๒ คน คือ ผีนางตะเคียน เรื่องราวของนางตะเคียนก็มีอยู่ว่า หลวงพ่อปานท่านจะสร้างเขื่อนหน้าวัด ก็มีต้นตะเคียนรุ่น ๆ คำว่า รุ่น ๆ ก็หมายความว่า โตไม่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางขนาดประมาณไม่ถึงฟุต หรือตอนโคนทีเดียวอาจจะถึงฟุต ท่านตัดไป ๒ ต้น

เมื่อต้นตะเคียนถูกตัด ก็ปรากฏว่านางตะเคียน ๒ คน เข้าไปหาหลวงพ่อปานเวลาการเจริญกรรมฐาน คำว่า เวลาการเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับพระที่ท่านทรงฌานอย่างหลวงพ่อปาน กรรมฐานใช้กันได้ ๒๔ ชั่วโมง เวลากินข้าว อารมณ์ก็เป็นกรรมฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา เวลาที่จะคุยกับใคร อารมณ์ก็เป็นกรรมฐาน ถือเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะอะไรรู้ไหม อนิจจัง คนที่มาพูดนี่มันไม่เที่ยง มันแก่ไปทุกวัน ทุกขัง นั่นความแก่มาถึง ความปรารถนาไม่สมหวัง เธอก็ทุกข์ อนัตตา ในที่สุดเขาก็ตาย เราก็ตาย มีสภาพเช่นเดียวกัน

ก็รวมความว่า เฉพาะสมาธิ สมาธิจริง ๆ มันทรงอารมณ์ไม่ใช่อึกอักอะไรก็ต้องนั่งหลับตาปี๋ นั่งหลับตาปี๋จึงจะใช้อารมณ์สมาธิได้ อย่างนั้นอาจจะดีสำหรับบางคณะ แต่คณะที่ท่านเอากันตามนี้ ท่านใช้สมาธิทุกเวลา สมาธิที่จะทรงตัวอยู่อย่างอย่างน้อยที่สุด ก็เป็น อุปจารสมาธิ หรือมิฉะนั้นก็เป็น ฌานที่ ๑ ฌานที่ ๒ คือ เขาไม่ทิ้งกันเลย อย่างตอนเช้ามืด เข้าฌาน ๔ เรียด แต่ความจริงสมาธินี่ ถ้าพูดกันตามส่วน ถ้าเป็นญานโลกีย์ต้องระวังให้มาก มันเป็นฌานหัวเต่า ถ้าไม่ค่อยระมัดระวัง ไม่คอยคุม มันก็เผลอได้เหมือนกัน

ฉะนั้นท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟังก็จงอย่าคิดว่า คนที่ทรงฌานโลกีย์เป็นคนดีนัก ถ้าชมกันว่าดีเลิศนี่ ขอตำหนิผู้ชมว่า ไม่มีความเข้าใจอะไรจริง ๆ เลย ฌานโลกีย์ที่เป็นฌานหลอกหลอน เป็นฌานหัวเต่าผลุบเข้าผลุบออก ถ้าทรงกำลังฌานเต็มที่ อารมณ์จะหนัก อารมณ์จะแน่น รู้สึกมีน้ำหนักของกำลังใจ น้ำหนักของกำลังกายสูงนี่เป็นกำลังของฌาน ถ้าเป็นฌานเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณ คือเป็น โลกุตตรฌาน อารมณ์หนักอารมณ์แน่นจะหายไป มีแต่อารมณ์เบา แต่จิตมีความสุข จิตมีอารมณ์โปร่ง ถ้าฌานของวิปัสสนาญาณ นี้ไม่ถอน ถ้าถึงสังโยชน์แล้วไม่ถอย ไม่ต้องระวังกัน คือไม่ต้องระวังเกรงว่า ฌานจะหลุด ฌานจะพ้น ฌานจะหาย ฌานจะสลายตัว ไม่ต้องระวัง ปล่อยกันตามสบายแล้วเพราะมันทรงตัวแน่

แต่สำหรับฌานโลกีย์ต้องระวังให้มาก บางทีจิตไปตั้งอยู่ในอารมณ์ของฌานที่ ๓ หรือฌานที่ ๔ จนชิน คำว่า ชิน ก็เป็นชั่วขณะเดียวเวลานั้นอาจจะมีความรู้สึกว่า เวลานี้เราเป็นพระอรหันต์ก็ได้ นี่ต้องระวัง ๆ ให้มาก และมีสภาพเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าความรู้สึกเป็นพระอรหันต์ จะมีความรู้สึกเหมือนกันหรือไม่ ไม่ทราบ อารมณ์มันดับ ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความโลภอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันหยุดนิ่ง มันถูกกดด้วยกำลังฌาน กดนาน ๆ หลาย ๆ วัน หนักเข้า ๆ อาจจะมีความรู้สึกว่า เราอาจจะเป็นผู้พ้นกิเลสเสียแล้ว ทีนี้ตัวอย่างมีไหม ตัวอย่างมีในสมัยพระพุทธเจ้า

พระแท้เท่านั้น...ที่จะอยู่รอด !!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำ...เล่า "ผีสาวประจำกุฏิ" หากภิกษุคิดไม่ชอบ บวชมาหวังลาภยศ โดนหลอกจนจับไข้ทุกราย !!!

ว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ ก็พยากรณ์กับตน หมายความพูดกับเพื่อนว่า ผมนี่เป็นพระอรหันต์แล้ว ต่อมาก็กลายเป็นว่า ฌานมันเคลื่อนตัวลง ความรู้สึกของกิเลสมันก็ยังเกิดขึ้น คือความรักในระหว่างเพศ ถึงแม้ว่าจะไม่เอาจริงไม่เอาจัง แต่ก็เห็นว่าสวย คนนี้สวยเนื้อดีอวบอั๋นดี อะไรก็ตาม มันดีไปหมด รู้สึกว่าร่างกายเขาดีใช้ไม่ได้แล้ว ความอยากจะร่ำรวย อยากเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเกิดขึ้น แม้แต่ชั่วขณะหนึ่งก็ใช้ไม่ได้แล้ว ความอารมณ์ไม่พอใจเกิดขึ้นชั่ว ขณะหนึ่งก็ใช้ไม่ได้แล้ว

ก็รวมความว่า ความหลงใหลในร่างกายคิดว่าร่างกายของเราดีก็ใช้ไม่ได้แล้วอย่างนี้มันโผล่ขึ้นมาในเมื่อมันโผล่ขึ้นมา ท่านก็มีความสงสัยในตัวเองว่า การพยากรณ์ตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ มันจะขาดจากความเป็นพระไหม เป็นการอวดอุตริมนุษยธรรมไหม ก็ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่เป็นอุตริมนสุธรรม เพราะความเข้าใจผิดเรื่องของฌานโลกีย์ เป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เอ้า...มาคุยธรรมะเดี๋ยวจะง่วงกันตาย เล่าเรื่องของนางตะเคียนกันต่อไป

นางตะเคียน ๒ คน เข้าไปหาหลวงพ่อปาน ที่บอกว่า เวลาเจริญกรรมฐาน เวลาไหนทราบไหม เวลานั้นเป็นเวลาหัวค่ำประมาณ ๒ ทุ่ม หลวงพ่อปานกำลังตะบันหมากอยู่ ท่านใช้ตะบัน ตะบันหมาก ฟันท่านไม่มี กำลังตะบันหมากอยู่ ก็ปรากฏมีสตรี ๒ คน ความจริงประตูเขาใส่กลอนแล้ว เข้าไป เป็นเด็กสาวรุ่น ๆ หน้าตาเหมือนเด็กอายุ ๑๒-๒๓ แต่ร่างกายก็สาวทรงตัว สาวทรงตัวคล้ายอายุ ๑๖-๑๗ รูปร่างหน้าตาดี ๒ คน เข้าไปกราบ แล้วก็ร้องไห้ก็บอกว่า หลวงพ่อเจ้าคะ หลวงพ่อฟันต้นตะเคียน ๒ ต้น บ้านฉันก็พัง วิมานฉันไม่มีที่ตั้ง ทำอย่างไรเจ้าค่ะ ฉันจะอยู่ที่ไหน

หลวงพ่อปานท่านก็ถามว่า เออ...น้องหญิงเอ๊ย...เอ็งมาจากไหนละ นี่เป็นศัพท์หลวงพ่อปานท่าน เธอบอก ฉัน คือนางตะเคียน ๒ ต้นเจ้าค่ะ วิมานฉันแปะอยู่ที่ต้นตะเคียน เวลานี้หลวงพ่อจะสร้างเขื่อนไปโค่นต้นตะเคียน ฉันก็ไม่มีที่อยู่ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ต้นไม้ในวัดนี้มีเยอะ หาอยู่สักต้นซิ เธอก็ตอบว่า ต้นไม้ที่มีแก่นในวัดนี่ ไม่มีว่างเลยเจ้าค่ะ วิมานรุกขเทวดาเต็มไปหมด รุกขเทวดา รุกขนางฟ้านะ คือ เทวดาต้นไม้ นางฟ้าต้นไม่ เต็มไปหมดฉันไม่มีที่อยู่เจ้าค่ะ

พระแท้เท่านั้น...ที่จะอยู่รอด !!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำ...เล่า "ผีสาวประจำกุฏิ" หากภิกษุคิดไม่ชอบ บวชมาหวังลาภยศ โดนหลอกจนจับไข้ทุกราย !!!

หลวงพ่อปานก็บอกว่า เออไอ้กุฏิ ๒ หลัง หน้าศาลาที่ฉันจะทำเป็น โรงเรียนนักธรรม นั่นนะ เวลานี้มันว่างอยู่ใช่ไหม เธอเห็นว่ามีเทวดาหรือนางฟ้าไปอาศัยไหม เธอก็ตอบว่า ไม่มีเจ้าค่ะ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ถ้าเธอจะใช้วิมานของเธอไปแปะอยู่กับกุฏิคนละหลังจะได้ไหม เธอก็บอกว่า ยินดีจะเอาหลังเดียว คือ ๒ คน ๒ วิมาน ใช้กุฏิหลังเดียวก็พอ หลวงพ่อปานก็อนุญาต และเธอก็กราบอีกครั้งหนึ่งว่า ขอพร ในเมื่ออนุญาตแล้ว ขอจงห้ามไม่ให้ผีอื่นเข้าไปยุ่ง หมายความว่าไปอาศัยอยู่ หลวงพ่อปานก็ยอมรับ

ในเมื่อหลวงพ่อปานอนุญาตแล้ว เธอก็ไปอยู่ที่นั่น และนางฟ้า ๒ คนนี่แหละที่ทำให้พระไปอยู่ ๓ รุ่น ต้องลงจากกุฏิหลังนั้น เพราะอะไร เพราะเธอเป็นนางฟ้า คำว่า นางฟ้าจะเป็นนางฟ้าได้ จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี อากาศเทวดาก็ตาม ขึ้นชื่อว่า เทวดาหรือนางฟ้า ก่อนจะตายต้องมี หิริและโอตตัปปะ คือ อารมณ์ตัดความเลวของจิต คือ คิดกลัวบาป อายบาป กลัวความชั่ว อายความชั่ว จึงเป็นเทวดา จึงเป็นนางฟ้าได้

ในตอนก่อนนั้น เธอจะมีความชั่วขนาดไหนก็ตาม ก่อนหน้านั้น แต่ถ้าเวลาใกล้จะตาย จิตคิดถึงบุญ คิดถึงบาปเขามา รู้ผิดรู้ชอบ รู้เหตุรู้ผลว่า กรรมใดที่เป็นอกุศล คือ ความชั่ว ให้ผลเป็นทุกข์ กรรมใดที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ตอนนี้จิตก็มีเหตุมีผล กลัวบาปกลัวอกุศล ทำบุญทำกุศลแทน อย่างน้อยที่สุด จิตนึกถึงพระที่เคยบูชา พระที่เราเคยรัก ที่เราเคยเคารพ อย่างนี้เป็นต้น รวมความว่า เขาจะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าด้วย หิริ-โอตตัปปะ อายความชั่ว กลัวความชั่ว

ทีนี้หลวงพี่ขึ้นไปอยู่ ๓ รุ่น ก็เป็นหลวงพี่ที่มีความกล้าหาญชายชัย ไม่กลัว คำว่า ไม่กลัวอะไร คือไม่กลัวความชั่ว ทั้งนี้จะคุยให้ฟังว่า อย่านึกว่าครูบาอาจารย์ดี ลูกศิษย์มันดีไปตามทั้งหมด ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ไอ้พวกคนที่มันเกาะหลังครูบาอาจารย์กินน่ะ มันมีเยอะ แทนที่จะสร้างความดีตามครูบาอาจารย์สอน มันกลับสร้างความชั่ว แล้วก็นั่งเบ่งคิดว่า วันนี้เราจะกินไอ้นั่น วันนี้เราจะกินไอ้โน่น ดี ไม่ดี ลูกสาวใครคนไหนสวย ชอบคนนั้น ชอบคนนี้ อยากจะร่ำอยากจะรวย หากิเลส หานรกลงหัว อย่างนี้มีเยอะ ถ้าจะถามว่า ลูกศิษย์คนพูดมีไหม ก็ต้องตอบว่า มี ถามว่าเลี้ยงไว้ทำไม แต่ความจริงไม่ได้เลี้ยงใคร เวลานี้ไม่ได้เลี้ยงใคร เลี้ยงตัวเอง และญาติโยมน่ะเลี้ยง

ไอ้คำว่า เลี้ยง คือ ญาติโยมเลี้ยง นั่นก็หมายความว่า สุดแล้วแต่คน คนมันอยากจะลงนรก ก็ให้มันลงลึก ๆ มันอยากจะไปสวรรค์ก็ให้มันมีความสุขมาก ๆ อยากจะไปนิพพาน ก็ให้มีสภาพความแจ่มใส อย่านึกว่าว่าวัดที่มีผู้ใหญ่ดี มีชื่อเสียง ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามสมควรแก่กำลังการปฏิบัติของท่าน ก็จงอย่านึกว่า ลูกศิษย์ลูกหามันดีตามไปทุกคน ไอ้ที่เลวแสนเลวมันก็มี เลวขนาดที่ไม่ควรจะเลว ความรู้สึกรับผิดชอบไม่มี อย่างนี้มันมีอยู่เยอะเหมือนกัน แต่บางองค์ บางท่าน บางคนก็ดีแสนดี บางคนก็ดีเกินกว่าที่อาจารย์จะคิดเร่งรัดตัดกิเลส จนกระทั่งขาดการยับยั้ง มีความเพียรมากเกินไป อาจารย์ต้องยับยั้ง อันนี้ดีเกินไป

พระแท้เท่านั้น...ที่จะอยู่รอด !!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำ...เล่า "ผีสาวประจำกุฏิ" หากภิกษุคิดไม่ชอบ บวชมาหวังลาภยศ โดนหลอกจนจับไข้ทุกราย !!!

ถ้าถามว่า ถ้าดีเกินไปอย่างนั้น ทำไมอาจารย์ต้องยับยั้ง ไม่ปล่อยบุกให้แหลกไปเลย ก็ต้องขอตอบว่าขืนบุกอย่างนั้น กิเลสไม่แหลก คนบุกแหลกเป็น อัตตกิลมถานุโยค ทรมานเกินไป เอ้า...เลี้ยวเข้าหานางตะเคียนกันใหม่ดีกว่า ที่พูดอย่างนี้ กลัวผู้ฟังจะหลง คิดว่า ลูกศิษย์คนพูดนี่ดีทุกคน ความจริงทุกคนก็มีดี แต่ทุกคนก็มีชั่ว แต่ใครจะดีมาก ใครจะชั่วมาก ก็เลือกบูชากันตามชอบใจ ถ้าบูชาสิ่งที่ดีจริง ๆ ท่านก็ได้อานิสงส์จริง ถ้าบูชาท่านที่ดีจอมปลอม ก็ได้อานิสงส์จอมปลอม ต้องดูการสะสม ดูเหตุดูผล

เป็นอันว่า บรรดาพระ ๓ รุ่นที่ขึ้นไป แล้วก็ต้องลงมาเป็นพระอะไรล่ะ อย่าไปเรียก พระเลย เสียศักดิ์ศรีพระท่าน เอาเป็นนักบวชประเภทที่เรียกว่า สักแต่ว่าบวช บวชตามประเพณี ชอบทำตัวเด่น ชอบทำตัวโก้ อย่างกับผู้พูดที่เขาหาว่า เป็นตัวตุ่น เขาหาว่า บ้า ๆ บวม ๆ เขาไม่อยากจะคบหาสมาคมด้วย แต่บางองค์ก็คบด้วย แต่คบอย่างเบ่ง อย่างเขาเป็นผู้เหนือกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบส่องกระจก ชอบมองดูหน้า ชอบแต่งหน้า เวลาจะไปไหนจีวรก็ต้องเรียบร้อย ห่มดี แต่ลืมนึกไปว่า เวลานั้น ๑๕ วัน ขูดหัวน่ะ ๑๕ วัน เขาโกนที เขาขูดครั้งหนึ่ง และไอ้หางที่กระดิก ๆ ก็คือ คิ้ว เขาก็ไม่มี ต้องตัดเสียแล้ว หลงในตัวเองประเภทนี้ ฉะนั้นนางฟ้าทั้ง ๒ คน ท่านเป็นคนมีหิริและโอตตัปปะ จึงเป็นนางฟ้าได้

เมื่อขึ้นไปอยู่ที่นั่น เมื่อพบกับท่านแล้วก็ถามว่า ๓ องค์น่ะ เธอทำอย่างไร เธอก็ตอบว่า ไม่มีอะไร เห็นท่านชอบผู้หญิง ฉันก็เลยมาลูบมาคลำท่าน ก็เลยบอกว่า เธอลูบคลำพระ นี่มันบาปนะเธอบอก ฉันไม่ได้ลูบคลำพระ เพราะทั้ง ๖ องค์ ๓ รุ่น รุ่นละ ๒ องค์ จิตใจไม่ใช่พระ เวลานอนนึกถึงสาว ๆ ลูกสาวบ้านโน้น ลูกสาวบ้านนี้ และจิตใจอยากจะประกอบการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้มันได้เงินไปแต่งงานกับสาว และก็คุยกัน ชอบคุยเรื่องสาว ๆ ชอบคุยเรื่องการร่ำรวย ชอบนินทาว่าร้ายคน ฉันมีความรู้สึกว่า ทั้ง ๖ ท่าน ไม่มีความเป็นพระเหลืออยู่เลย นี่บรรดาท่านผู้ฟัง ท่านผู้อ่านไปคิดตามเอานะ เทวดาเขามีความรู้สึกตามนี้ เขามีความรู้สึกของเรา เขารู้ใจเราคิด

ในเมื่อเห็นว่า ท่านไม่เป็นพระ ฉันก็คิดอยู่ว่า ไอ้บ้านของฉันมันก็พะอยู่ที่ศาลาหลังนี้ กุฏิหลังนี้ ถ้าเราอยู่กับคนที่ไม่ใช่พระอารมณ์ดีของเราก็จะมีน้อย บุญกุศลก็หาไม่ได้ เพราะเทวดานางฟ้าทำบุญทำกุศลต่อเหมือนกัน ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรท่าน ฉันก็ไปนั่งข้าง ๆ ท่าน เอามือลูบท่าน แต่ไม่ได้ลูบหัว ลูบตั้งแต่ไหล่ลงมาถึงปลายเท้า เลยถามเธอว่า ถ้าอย่างนั้น ทำไมพระไม่โดดกอดเธอล่ะ เธอก็ตอบว่า ถ้าหากว่าท่านจะกอดฉัน ฉันก็ยอมให้กอด แต่ก็รู้สึกว่า ท่านไม่กอด ท่านกลัว ถามว่าเธอทั้งสวย และก็เรียบร้อยแบบนี้ ทำไมท่านจะกลัว เธอก็บอกว่า เวลานั้นมือฉันเย็นกว่าน้ำแข็งเสียอีก พอลูบปั๊บ ตัวแข็งสั่นเลย ลูบแค่วันแรกก็รู้สึกยังแกล้งทนอยู่ วันที่ ๒ ก็แกล้งทน วันที่ ๓ โดดลงมาข้างล่าง ฉิบ พอรุ่นที่ ๒ ขึ้นมา ก็มีความรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ฉันก็ต้องสั่งสอนแบบนั้น

ก็เป็นอันว่า หลังจากนั้นต่อมาก็เลยถามเธอว่า เมื่อรุ่นที่ ๓ ลงไปแล้ว ฉันจะขึ้นมา เธอมีความรู้สึกอย่างไร เธอก็ตอบว่า ฉันมีความรู้สึกอยากให้ท่านขึ้นมา ก็ถามว่า นางฟ้าใช้กำลังดลใจหรือเปล่า เธอก็บอกว่า เปล่า เพียงแต่คิดว่า พระองค์นี้ทำไมไม่มาอยู่ที่นี่ ถ้ามาอยู่ที่นี่ละก็ มีกำลังบุญพอสมควรที่จะสงเคราะห์กันได้ ก็เลยถามเธอบอกว่า เขาหาว่าฉันบ้า ๆ บวม ๆ นะ เธอก็ตอบว่า เธอก็มีความรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เออ...เอาเข้าแล้วซี เธอก็บอกว่า ฉันก็มีความรู้สึกอย่างนั้น แต่อยากให้ท่านขึ้นมา และถามว่า ในเมื่อรู้สึกมีความบ้า มีความบวม แล้วทำไมอยากให้ขึ้นมา

เธอบอกไอ้บ้า หรือบวม มันมี ๒ อย่าง บ้าเพื่อสร้างกิเลส บวมเพื่อสร้างกิเลส และบ้าทำลายกิเลส บวมทำลายกิเลส สำหรับท่านนี่ มันบ้า ๆ บวม ๆ ประเภททำลายกิเลส ก็ตอบเธอบอกว่า เวลานี้กิเลสมันยังไม่หมดนะ เธอ ๒ คนนั่งข้างหน้าฉันนี่ ฉันยังรู้สึกว่าสวยนะ เธอก็ตอบว่า อย่าพูดว่าสวยซิ ประเดี๋ยวแม่ใหญ่มา แม่ใหญ่จะอาละวาด คือ ท่านคงไม่อาละวาดฉัน อาละวาดท่านนั่นแหละ หาว่าเจ้าชู้เกินไป

ถามว่า แม่ใหญ่อยู่ที่ไหน เธอบอก ท่านแม่ใหญ่เวลานี้อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถามว่า เธอคุยกับฉันนี่ แม่ใหญ่เห็นไหม เธอตอบว่า เห็น แจ๋ว...กำลังนั่งยิ้ม ๆ อยู่นั่นแหละ ดีไม่ดี เดี๋ยวก็มาฉีกเนื้อท่านหรอก เธอก็คุยสนุก คุยไปคุยมา ก็ลืมบอกเวลาไปเวลานั้น เวลาประมาณสัก ๒ ทุ่ม คุยไปคุยมาอยู่พักหนึ่ง ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ต่อนี้ไป เราเป็นเพื่อนกัน เธอเป็นเพื่อนฉัน คอยดูฉัน ฉันมันคอยจะเผลอ ถ้าฉันเผลอในเรื่องกามารมณ์เมื่อไร เธอเตือนทันที ฉันเผลอเรื่องทรัพย์สิน ความโลภเมื่อไร ให้เตือนทันที ถ้ากำลังใจโหดเหี้ยมขึ้นมา ให้เตือนทันที ถ้าความหลงกับตัวเกิดขึ้นมา เธอเตือนได้ทันที เธอก็ยกมือพนม ทั้งสองบอกถ้าอย่างนี้สิอยู่กันได้นาน

แหม...มันก็เป็นที่น่าเสียดาย ท่านผู้ฟังถ้าเธอเป็นคนนะ วันนั้นสึกแล้ว นิ่มนวลจริง ๆ สวย มองแล้วชื่นตาชื่นใจ แต่เธอก็คงไม่มานะ เพราะเมื่อยังไม่บวชก็ไม่เห็นมา ถ้ายังไม่บวชถ้ามาแบบนี้ น่ากลัวมีเมียเทวดาไปแล้ว มีเมียนางฟ้าไปฉิบ หรือจะลงนรกไปก็ไม่ทราบ

ก็รวมความว่า ตอนหลังนี้มีเพื่อนใหม่ คือ มีเพื่อนสาว ๒ คน ขณะที่เธอจะเข้ามา เธอทำอย่างนี้ อันดับแรก ก่อนจะดูหนังสือทุ่มเศษ ๆ เธอก็เอามือรูดฝา รอบ ๆ ฝา เดินไปแล้วก็วิ่งผ่านเข้ามาจากหน้าต่าง ออกประตู เห็นเข้าก็บอกว่า ๒ คนนี่ มานี่ก่อน มาจากไหน มาอย่างไร เป็นผู้หญิงเข้ามาอย่างไรในห้องของพระ เธอก็หันเข้ามายกมือไหว้ แล้วก็คุยกันตามนั้น

หลังจากนั้นก่อนจะหลับ ก็บอกเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นตัว บอกว่า นี่ถึงเวลาก่อนตี ๑ ครึ่ง ๕ นาที ให้ปลุกฉัน ฉันจะลุกขึ้นทำวัตรสวดมนต์ และฉันจะเจริญกรรมฐาน ถ้าหลังเจริญกรรมฐานแล้ว ฉันดูหนังสือ ถ้าบังเอิญหลับไปก่อน ๖ โมง ๕ นาที ให้บอกฉัน เธอก็รับคำ เป็นอันว่า ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาก็มีความสุข เพราะมีเพื่อน เราก็มีเพื่อน รูปร่างหน้าตาก็สวย วาจาก็น่ารัก ทุกสิ่งทุกอย่างมองแล้วดีหมด สดชื่นทุกอย่าง

แต่ทว่าบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน แต่เพื่อนอีกประเภทหนึ่ง เธอก็ไม่ละความพยายามแสดงออก คุยที่โน้นบ้าง ตึงตังที่นี่บ้าง ทำโป๊กเป๊กที่โน่นบ้าง เป็นปกติธรรมดา ๆ ก็ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาก็คิดในใจว่า เรื่องของใครก็เรื่องของใคร เรื่องของผีก็เรื่องของผี เรื่องของเราก็เรื่องของเรา ถามว่า กลัวไหม ต้องขอตอบด้วยความจริงใจ ไม่ปกปิดกัน กลัวจริง ๆ ถ้าไม่กลัว ก็ไม่เอาหวายหลวงพ่อปานผูกไว้ และก่อนที่ขึ้นไปสถานที่นั้นก็ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ จิตนึกถึงภาพพระพุทธเจ้าในวาระแรกที่พระองค์แสดงให้ปรากฏหลังจากเริ่มเจริญกรรมฐานถึงวันที่ ๓ ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงพระองค์ให้ปรากฏ เป็นชั่วโมง

ตอนนี้คุยแล้วหรือยังไงก็ไม่ทราบ จำไม่ได้ อยากจะเห็นพระพุทธเจ้าในพระรูปโฉมเดิม ท่านแสดงให้ปรากฏชัดทรงแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ สวยจริง ๆ ภาพนี้ติดตา ติดใจตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง ถามว่า ไม่ลืมหรือขอยอมรับว่า ไม่ยอมลืมเด็ดขาดจะไปที่ไหนก็ตาม จะคุยกับใครก็ตาม จะต้องนึกถึงภาพนี้อยู่เสมอ ฉะนั้นก่อนที่จะขึ้นไป ก็นึกถึงภาพนี้ก่อนนึกถึงภาพพระพุทธเจ้าลอยอยู่เหนือศีรษะ ก็ก้าวขึ้น พอตอนเย็นจะก้าวขึ้นบันไดบางทีก็ขาสั่น พั่บ ๆๆๆ ไอ้ใจมันสู้ แต่ขามันก็กลัว

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ฟังต่อไปก็ไม่ไหว เวลาเหลือไม่ถึงครึ่งนาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง สวัสดี

พระแท้เท่านั้น...ที่จะอยู่รอด !!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำ...เล่า "ผีสาวประจำกุฏิ" หากภิกษุคิดไม่ชอบ บวชมาหวังลาภยศ โดนหลอกจนจับไข้ทุกราย !!!

ข้อมูลจาก - หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑๔ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ