ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

ผมขอเอาตัวออกมารับก้อนอิฐ!! อ.สุวินัย เห็นต่าง "ยาหมอแสง" กับการรักษามะเร็ง ชี้..สิ่งที่แพทย์หลายคนอยากพูด แต่ไม่กล้าพูดตรงๆ!!

 

        จากกรณีมีหมอเทวดา แจกยารักษาโรคมะเร็งฟรี หลายคนรักษาแล้วหาย อยู่ที่ ต.บางเดชะ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โดยหมอรายนี้คือ นายแสงชัย แหเลิศตระกูล เจ้าของสูตรยารักษามะเร็ง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หมอแสง" ได้มีการแจกยารักษาโรคมะเร็ง ทำให้ผู้คน หลั่งไหลเดินทางจากทั่วประเทศ นับหมื่นคนมารับยาดังกล่าว

ผมขอเอาตัวออกมารับก้อนอิฐ!! อ.สุวินัย เห็นต่าง "ยาหมอแสง" กับการรักษามะเร็ง ชี้..สิ่งที่แพทย์หลายคนอยากพูด แต่ไม่กล้าพูดตรงๆ!!

 

          ล่าสุด อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย นักวิชาการ และนักเขียนชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค Suvinai Pornavalai ถึงกรณีของประเด็นหมอแสงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในสังคมขณะนี้ โดยระบุข้อความว่า 

ความจริงของ "ยาหมอแสง" กับการรักษาโรคมะเร็ง / สุวินัย ภรณวลัย

         เมื่อวานผมได้เจอหลานสาวที่เป็นแพทย์โรงพยาบาลศิริราช เธอบอกกับผมว่ามีคนป่วยที่ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลเพราะมีอาการเลือดออกจากสมองหลังจากทาน "ยาหมอแสง" เข้าไป ผมถามเธอว่าที่ผ่านมาเจอเคสแบบนี้กี่รายแล้ว เธอตอบผมว่าอย่างน้อยสองรายที่เธอเจอกับตนเอง

         ผมคิดว่าวงการแพทย์และสาธารสุขไทยน่าจะลำบากใจในเรื่อง "ยาหมอแสง" นะแบบอยู่ในภาวะ "น้ำท่วมปาก" กับกึ่งๆ "กลืนไม่เข้าคายไม่ออก" ดังนั้นผมขอเอาตัวออกมารับ "ก้อนอิฐ" แทนก็แล้วกันเพื่อพูดตรงๆเกี่ยวกับ "ยาหมอแสง" ในสิ่งที่แพทย์แผนปัจจุปันหลายคนอยากพูดแต่ไม่กล้าพูดตรงๆ ดังๆออกมาจากปากตนเอง

(๑) การที่คนป่วยกิน "ยาหมอแสง"เข้าไปแล้วรู้สึกมีอาการดีขึ้นน่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อเป็นส่วนใหญ่

         คนที่เป็นแพทย์ทุกคนจะมองว่า การที่คนป่วยทาน "ยาหมอแสง"แล้วอาการดีขึ้น มันไม่ได้หมายความว่าเป็นผลจากยาเสมอไป เพราะอาจมีปัจจัยอื่นมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งลักษณะของโรคและปัจจัยรอบตัวคนป่วย ทางเดึยวที่จะรู้ได้คือต้องผ่านการพิสูจน์เชิงประจักษ์ซึ่งเป็นการทดลองทางคลีนิคที่มีการควบคุมปัจจัยต่างๆอย่างเข้มงวดเท่านั้น

         เท่าที่ผมทราบ "ยาหมอแสง" ยังไม่เคยผ่านการทดลองทางคลีนิคแบบนี้มาก่อน อีกทั้งยังขาดหลักฐานที่หนักแน่นพอที่จะเคลมได้ว่า "ยาหมอแสง" สามารถเอามาใช้กับผู้ป่วยมะเร็งทุกคนและปลอดภัย

(๒) ผู้ป่วยมะเร็งหลายรายมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นหรือบางรายอาจหายขาดได้ ถ้าได้รับการรักษาตามแนวทางการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือการแพทย์ทางเลือกที่ไม่เหลวไหล (อย่างเช่นชีวจิต) หรือการแพทย์แบบผสมผสาน (Integral Medicine) แต่โอกาสเหล่านี้จะหมดไปถ้าคนป่วยแห่ไปพึ่ง "ยาหมอแสง" แทนด้วยความหวังแบบลมๆแล้งๆ

        ผมเคยเจอ "หมอชาวบ้าน" ที่ใช้การแพทย์แผนโบราณและสมุนไพรหลากชนิดทำการรักษาคนป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายร่วมกับการใช้พลังจิตและการเจริญสมาธิภาวนา แล้วคนป่วยมีอาการดีขึ้นหรือหายขาดหลายราย แต่กว่าจะรักษาให้คนป่วยดีขึ้นได้นั้นมันกินเวลาพอสมควร ต้องให้คนป่วยผ่าน "การล้างพิษ" ออกจากร่างกาย ผู้เป็นหมอต้องสามารถใช้ญาน สแกนอาการคนป่วยตรวจพบสาเหตุที่แท้จริงของโรคร้ายก่อนทำการรักษา มีการนวดกดจุดจับเส้น จัดโครงกระดูกของคนป่วย ก่อนที่จะให้คนป่วยทานสมุนไพรในปริมาณทึ่เหมาะสมเป็นรายๆไป โดยคำนึงไม่ให้เกิดผลกระทบข้างเคียงต่ออวัยวะอื่นๆในร่างกายของคนป่วยด้วย

 

           ถ้าผมป่วยเป็นมะเร็ง ผมจะเต็มใจรักษาด้วยแพทย์ทางเลือกกับ "พ่อหมอ"ที่มีความสามารถพิเศษดุจหมอเทวดาแบบนี้ โดยไม่ทิ้งแพทย์แผนปัจจุบันในการตรวจสอบการรักษา แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่มีในการรับ "ยาหมอแสง" มาทานเดือนละครั้ง วันละ ๑ แคปซูลเลย สำหรับผมแล้วนี่แทบไม่เรียกว่าการรักษาแล้วนะ แต่น่าจะเรียกว่าการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของผู้ป่วยที่คิดว่าไม่มีทางรอดอื่นอีกแล้วต่างหาก

           ปรากฏการณ์ที่ผู้คนนับหมื่นจากทั่วประเทศแห่งไปเข้าคิวรับ "ยาหมอแสง" ที่แจกฟรีนั้นสะท้อนวิกฤตสุขภาพ วิกฤตโภชนาการ และวิกฤตระบบสาธารณสุขไทยอย่างถึงที่สุด ทางออกที่แท้จริงของปัญหานี้นั้น ไม่น่าจะอยู่ที่ "ยาหมอแสง" ซึ่งผมมองว่าส่วนใหญ่ไม่น่าจะได้ผลจริง แต่น่าจะอยู่ที่การรณรงค์ระดับชาติอย่างเป็นระบบให้ผู้คนส่วนใหญ่มี วิถีชีวิตที่ "ต้านมะเร็ง" ได้มากกว่า

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : Facebook Suvinai Pornavalai