- 11 ก.พ. 2561
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
จากกรณีมีหมอเทวดา แจกยารักษาโรคมะเร็งฟรี หลายคนรักษาแล้วหาย อยู่ที่ ต.บางเดชะ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โดยหมอรายนี้คือ นายแสงชัย แหเลิศตระกูล เจ้าของสูตรยารักษามะเร็ง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หมอแสง" ได้มีการแจกยารักษาโรคมะเร็ง ทำให้ผู้คน หลั่งไหลเดินทางจากทั่วประเทศ นับหมื่นคนมารับยาดังกล่าว
ล่าสุด อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย นักวิชาการ และนักเขียนชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค Suvinai Pornavalai ถึงกรณีของประเด็นหมอแสงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในสังคมขณะนี้ โดยระบุข้อความว่า
ความจริงของ "ยาหมอแสง" กับการรักษาโรคมะเร็ง / สุวินัย ภรณวลัย
เมื่อวานผมได้เจอหลานสาวที่เป็นแพทย์โรงพยาบาลศิริราช เธอบอกกับผมว่ามีคนป่วยที่ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลเพราะมีอาการเลือดออกจากสมองหลังจากทาน "ยาหมอแสง" เข้าไป ผมถามเธอว่าที่ผ่านมาเจอเคสแบบนี้กี่รายแล้ว เธอตอบผมว่าอย่างน้อยสองรายที่เธอเจอกับตนเอง
ผมคิดว่าวงการแพทย์และสาธารสุขไทยน่าจะลำบากใจในเรื่อง "ยาหมอแสง" นะแบบอยู่ในภาวะ "น้ำท่วมปาก" กับกึ่งๆ "กลืนไม่เข้าคายไม่ออก" ดังนั้นผมขอเอาตัวออกมารับ "ก้อนอิฐ" แทนก็แล้วกันเพื่อพูดตรงๆเกี่ยวกับ "ยาหมอแสง" ในสิ่งที่แพทย์แผนปัจจุปันหลายคนอยากพูดแต่ไม่กล้าพูดตรงๆ ดังๆออกมาจากปากตนเอง
(๑) การที่คนป่วยกิน "ยาหมอแสง"เข้าไปแล้วรู้สึกมีอาการดีขึ้นน่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อเป็นส่วนใหญ่
คนที่เป็นแพทย์ทุกคนจะมองว่า การที่คนป่วยทาน "ยาหมอแสง"แล้วอาการดีขึ้น มันไม่ได้หมายความว่าเป็นผลจากยาเสมอไป เพราะอาจมีปัจจัยอื่นมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งลักษณะของโรคและปัจจัยรอบตัวคนป่วย ทางเดึยวที่จะรู้ได้คือต้องผ่านการพิสูจน์เชิงประจักษ์ซึ่งเป็นการทดลองทางคลีนิคที่มีการควบคุมปัจจัยต่างๆอย่างเข้มงวดเท่านั้น
เท่าที่ผมทราบ "ยาหมอแสง" ยังไม่เคยผ่านการทดลองทางคลีนิคแบบนี้มาก่อน อีกทั้งยังขาดหลักฐานที่หนักแน่นพอที่จะเคลมได้ว่า "ยาหมอแสง" สามารถเอามาใช้กับผู้ป่วยมะเร็งทุกคนและปลอดภัย
(๒) ผู้ป่วยมะเร็งหลายรายมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นหรือบางรายอาจหายขาดได้ ถ้าได้รับการรักษาตามแนวทางการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือการแพทย์ทางเลือกที่ไม่เหลวไหล (อย่างเช่นชีวจิต) หรือการแพทย์แบบผสมผสาน (Integral Medicine) แต่โอกาสเหล่านี้จะหมดไปถ้าคนป่วยแห่ไปพึ่ง "ยาหมอแสง" แทนด้วยความหวังแบบลมๆแล้งๆ
ผมเคยเจอ "หมอชาวบ้าน" ที่ใช้การแพทย์แผนโบราณและสมุนไพรหลากชนิดทำการรักษาคนป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายร่วมกับการใช้พลังจิตและการเจริญสมาธิภาวนา แล้วคนป่วยมีอาการดีขึ้นหรือหายขาดหลายราย แต่กว่าจะรักษาให้คนป่วยดีขึ้นได้นั้นมันกินเวลาพอสมควร ต้องให้คนป่วยผ่าน "การล้างพิษ" ออกจากร่างกาย ผู้เป็นหมอต้องสามารถใช้ญาน สแกนอาการคนป่วยตรวจพบสาเหตุที่แท้จริงของโรคร้ายก่อนทำการรักษา มีการนวดกดจุดจับเส้น จัดโครงกระดูกของคนป่วย ก่อนที่จะให้คนป่วยทานสมุนไพรในปริมาณทึ่เหมาะสมเป็นรายๆไป โดยคำนึงไม่ให้เกิดผลกระทบข้างเคียงต่ออวัยวะอื่นๆในร่างกายของคนป่วยด้วย
ถ้าผมป่วยเป็นมะเร็ง ผมจะเต็มใจรักษาด้วยแพทย์ทางเลือกกับ "พ่อหมอ"ที่มีความสามารถพิเศษดุจหมอเทวดาแบบนี้ โดยไม่ทิ้งแพทย์แผนปัจจุบันในการตรวจสอบการรักษา แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่มีในการรับ "ยาหมอแสง" มาทานเดือนละครั้ง วันละ ๑ แคปซูลเลย สำหรับผมแล้วนี่แทบไม่เรียกว่าการรักษาแล้วนะ แต่น่าจะเรียกว่าการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของผู้ป่วยที่คิดว่าไม่มีทางรอดอื่นอีกแล้วต่างหาก
ปรากฏการณ์ที่ผู้คนนับหมื่นจากทั่วประเทศแห่งไปเข้าคิวรับ "ยาหมอแสง" ที่แจกฟรีนั้นสะท้อนวิกฤตสุขภาพ วิกฤตโภชนาการ และวิกฤตระบบสาธารณสุขไทยอย่างถึงที่สุด ทางออกที่แท้จริงของปัญหานี้นั้น ไม่น่าจะอยู่ที่ "ยาหมอแสง" ซึ่งผมมองว่าส่วนใหญ่ไม่น่าจะได้ผลจริง แต่น่าจะอยู่ที่การรณรงค์ระดับชาติอย่างเป็นระบบให้ผู้คนส่วนใหญ่มี วิถีชีวิตที่ "ต้านมะเร็ง" ได้มากกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก : Facebook Suvinai Pornavalai