ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ www.tnews.co.th

ครั้งหนึ่ง “หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม” ได้เข้าไปเดินจงกรมในป่าแห่งหนึ่งที่พระพุทธบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี ทันใดนั้นเองก็ปรากฏเป็นคนร่างสูงใหญ่ ประมาณ ๑๐ วา มายืนกางขาที่ปลายทางจงกรม คล้ายกับจะคร่อมทางเดินไว้ แสดงท่าทางว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในถิ่นนั้น

หลวงปู่ตื้อก็เดินจงกรมตามปกติ แสดงท่าว่าไม่สนใจมัน แต่ก็รู้สึกขนพองสยองเกล้าอยู่บ้างเล็กน้อย จากนั้นก็ปรากฏว่าเริ่มมีกลิ่นสาบสางเหม็นขึ้นมาและก็เหม็นมากขึ้นทุกที จนท่านรู้สึกว่าจะทนไม่ไหว เพราะไม่สามารถดับเวทนาตัวนี้ได้

หลวงปู่ตื้อจึงได้กำหนดจิตแผ่เมตตาให้มันไป แต่ก็ไม่เป็นผล แม้จะออกปากไล่ให้มันหนีไป มันก็ยังทำเฉย แถมยังคงปล่อยกลิ่นสาบสางนั้นเช่นเดิม

หลวงปู่ตื้อพยายามเดินจงกรมไปมาและกำหนดจิตไล่มันอยู่นานพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ผล ท่านจึงยึด “พุทโธ” อยู่ในอารมณ์ตลอดเวลา ตอนนี้จิตใจของท่านไม่หวั่นไหวหรือเกรงกลัวมันแล้ว

ในที่สุด หลวงปู่ตื้อก็หยุดเดินแล้วพูดขึ้นว่า

“มึงรออยู่ตรงนี้ก่อน… เดี๋ยวจะได้ลองดีกัน!!”

หลวงปู่ตื้อเดินขึ้นไปบนเพิงที่พัก จุดเทียนไข เอาไปติดที่ปลายไม้เท้า แล้วเดินกลับมาที่ทางเดินจงกรม พูดเสียงดังออกไปว่า

“ให้มึงหนีไปเด้อ … ถ้าไม่หนีจะเอาไฟจุดดาก (ก้น) มึงเดี๋ยวนี้ล่ะ!!”

แต่ผีเปรตตนนั้นก็ยังยืนนิ่งเฉยและส่งเสียงหัวเราะเยาะใส่ … หลวงปู่ตื้อจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วก็พุ่งเทียนเข้าใส่มัน

ปรากฏว่าได้ผล … ผีเปรตตนนั้นกระโจนหายไป แล้วก็ไปปรากฏตัวที่ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไป แต่กลิ่นเหม็นสาบกลับรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมจนหลวงปู่ตื้อไม่สามารถข่มใจเดิน จงกรมต่อไปได้

หลวงปู่ตื้อใช้ไฟเทียนไล่มันต่อไปอีก มันจึงหนีไป เมื่อดูท่าว่ามันจะหายไปแล้ว ท่านจึงกลับมาเข้าทางเดินจงกรมต่อไป จนได้เวลาพอสมควร ท่านจึงหยุดพักการเดินจงกรมแล้วนั่งสมาธิภาวนาต่อไป

ให้มึงหนีไปเด้อ..ถ้าไม่หนีจะเอาไฟจุดดาก "หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม"ปะทะเปรตจอมดื้อ ไม่ยอมรามือทั้งคืน ปะทะกันจนสว่างคาตา..

เมื่อหลวงปู่ตื้อหลับตานั่งสมาธิไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ท่านก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมาเป่าลมเข้าไปในหูข้างขวา ท่านรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย แล้วมันก็กลับมาเป่าทางหูซ้าย ท่านพยายามข่มใจนั่งสมาธิต่อไป แผ่เมตตาไปให้ แต่ก็ไม่เป็นผล มันยังคงรบกวนอยู่นั่นเอง

หลวงปู่ตื้อจึงลืมตาขึ้น เอ่ยปากขับไล่มัน มันก็หัวเราะชอบใจ แล้วก็หนีไป

หลวงปู่ตื้อนั่งสมาธิต่อไป แต่ไม่นานมันก็กลับมาอีก แกล้งเป่าลมเข้าหูท่านเหมือนเดิม พอเอ่ยปากไล่ มันก็หนีไป แล้วไม่นานมันก็กลับมาล้อเล่นเช่นนั้นอีก

หลวงปู่ตื้อคิดอุบายที่จะขับไล่ โดยจะเอาน้ำมาสาดมัน ท่านจึงลุกไปหยิบขันเพื่อจะตักน้ำ ปรากฏว่าไม่มีขันในที่ที่ท่านวางไว้ คิดว่าผีมันคงเอาไปซ่อน ซึ่งมันก็หัวเราะเยาะแบบรู้ทัน

หลวงปู่ตื้อคิดจะเอาไม้ขีดมาเผาหัวมัน แต่ก็คว้าหากลักไม้ขีดไม่เจอ เพราะมันเอาไปซ่อนอีก

ดูเหมือนว่า มันจะเล่นตลกกับท่าน ท่านคิดจะทำอะไรก็รู้สึกว่ามันจะรู้ทันไปหมด … เจ้าผีเปรตยิ่งหัวเราะได้ใจใหญ่

หลวงปู่ตื้อหมดหนทางจะจัดการกับผีเปรตตนนั้น ท่านจึงดึงมุ้งกลดลงกาง แล้วนั่งภาวนาในมุ้งกลดโดยไม่ยอมนอนเลยตลอดคืน ท่านทำสมาธิไปจนถึงเช้าของวันใหม่

ท้ายที่สุด เจ้าผีเปรตตนนั้นจึงหนีขึ้นไปบนเขา แล้วส่งเสียงร้องบอกท่านว่า

“เรายอมแพ้ท่านแล้ว!!”

ให้มึงหนีไปเด้อ..ถ้าไม่หนีจะเอาไฟจุดดาก "หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม"ปะทะเปรตจอมดื้อ ไม่ยอมรามือทั้งคืน ปะทะกันจนสว่างคาตา..

ตอนเช้า หลวงปู่ตื้อจึงเดินทางไปพบหลวงปู่มั่น พอเข้าไปถึง หลวงปู่มั่นก็กล่าวทักว่า

“ท่านตื้อ…เมื่อคืนนี้คุณทำอะไรอยู่?”

หลวงปู่ตื้อกราบเรียนว่า

“กระผมรบกับผีขอรับ … กระผมทำอย่างไร เจ้าผีตนนั้นก็ไม่หนี จนได้อรุณสว่างขึ้น เจ้าผีตนนั้นจึงขึ้นเขาไป”

หลวงปู่มั่นพูดขึ้นว่า

“ดีแล้วท่านตื้อ … ผีมันปลุกเราให้ภาวนา”

หลวงปู่ตื้อได้เล่าเหตุการณ์นี้ให้ลูกศิษย์ฟังในภายหลังว่า

“ผีตนนั้นเป็นผีเจ้าที่ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ … เราชนะมันได้จึงไปรอด แต่ถ้าเราเอาชนะมันไม่ได้ก็คงจะลำบาก

ในเหตุการณ์เช่นนั้นต้องอาศัยความอดทนอดกลั้นเป็นที่สุด จะท้อถอยไม่ได้เลย หายใจเข้าออกก็ต้องมีพุทโธเป็นประจำ…ขาดไม่ได้ คำว่า ‘พุทโธ’ นี้เอง…ผีกลัวเกรงมากที่สุด”

ให้มึงหนีไปเด้อ..ถ้าไม่หนีจะเอาไฟจุดดาก "หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม"ปะทะเปรตจอมดื้อ ไม่ยอมรามือทั้งคืน ปะทะกันจนสว่างคาตา..

ขอขอบคุณท่านเจ้าของภาพ เจ้าของบทความ และที่มาเนื้อหาข้อมูลมา ณ ที่นี้

 หนังสือ “หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุบัน”

เผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชา และเทิดทูนเกียรติคุณครูบาอาจารย์