ละเลยหรือจงใจ? แกะคำพิพากษา 2 การ์ดแดงหลุดคดียิงกปปส. ศาลยันชัดโจทก์ไม่สอบการใช้โทรศัพท์จำเลย ทั้งที่เป็นหลักฐานประกอบคดี-ใยจึงเป็นเช่นนั้น?

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

มีคำถามตามมามากมาย หลังศาลฎีกายกฟ้อง 2 อดีตการ์ดแดง ยิง M 79 ถล่มเข้าใส่ม็อบ กปปส. เมื่อปี 2557 ขณะที่กำลังรุกไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนแทบจะหมดตาเดิน และสิ่งที่ทำให้สังคมกังขาก็คือ คำวินิจฉัยของศาลฯ ระบุชัดในท่อนหนึ่งวันนี้ว่า


"การนำสืบได้ความว่าจำเลยที่ 1 รับสารภาพในชั้นสอบสวน ถึงแม้จะมีน้ำหนักรับฟังพยานได้ก็เป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนจะต้องมีเหตุผลหนักแน่นน่ารับฟังโดยปราศจากข้อสงสัย แต่ก็ยังพบว่าบันทึกคำให้การข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1 มีความขัดแย้งกัน ทั้งที่เบิกความห่างกันไม่เกิน 7 วัน แต่จำเลยที่ 1 กลับให้การแตกต่างกัน อีกทั้งที่จำเลยที่ 1 ให้การว่ามีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกับจำเลยที่ 2 ซึ่งตรงนี้โจทก์สามารถตรวจสอบได้จากบริษัทผู้ให้บริการมือถือ แต่โจทก์ไม่กระทำ ทั้งที่จะเป็นพยานหลักฐานที่จะนำมาประกอบคำรับสารภาพให้มีน้ำหนักได้"

คำวินิจฉัยของศาลฯ ดังกล่าวข้างต้น ทำให้สังคมกังขาอย่างที่กล่าว...โดยเฉพาะตรงท่อนที่ว่า "ตรงนี้โจทก์สามารถตรวจสอบได้จากบริษัทผู้ให้บริการมือถือ แต่โจทก์ไม่กระทำ ทั้งที่จะเป็นพยานหลักฐานที่จะนำมาประกอบคำรับสารภาพให้มีน้ำหนักได้" นั่นก็ชัดเจนในตัวเองโดยไม่ต้องตีความอยู่แล้วว่า...ความแน่นหนาคดีนั้น...แน่นหนาเพียงไร และฝ่ายโจทย์กระทำหรือไม่กระทำ...ในสิ่งใด


อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และให้ทราบถึงที่มาที่ไปของคดี จึงขอยกคำพิพากษาของศาลฎีกาที่วินิจฉัยคดีนี้มานำเสนออีกครั้ง และถึงอย่างไรคำพิพากษาของศาลฎีกาก็ถือเป็นที่สุดของกระบวนการยุติธรรม

โดยวันนี้ ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดแจ้งผลคำพิพากษาศาลฎีกาให้อัยการโจทก์ ในคดีพยายามฆ่าผู้อื่น หมายเลขดำ อ.4334/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายณรงค์ศักดิ์ หรือตุ้ย พลายอร่าม อายุ 32 ปี และนายพีรพงษ์ หรือธานินทร์ สินธุสนธิชาติ อายุ 43 ปี อดีตการ์ดแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นฯ

กรณีเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2557 เวลากลางวันจำเลยกับพวก ร่วมกันใช้เครื่องยิงระเบิดแบบเอ็ม 79 และเครื่องกระสุน ยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.บริเวณสี่แยกเสาวนีย์ ถ.สวรรคโลก ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และรถยนต์เสียหายหลายคัน โดยจำเลยให้การปฏิเสธ ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 43 ปี 4 เดือน ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยระหว่างฎีกา โดยอัยการโจทก์ได้ยื่นฎีกา

วันนี้อัยการโจทก์เดินทางมาศาล ส่วนจำเลยทั้งสองไม่ได้มีการเบิกตัวมาศาล เนื่องจากจำเลยทั้งสองถูกแยกคุมขังในคดีอื่นที่เรือนจำจังหวัดสระบุรีและจังหวัดอื่นในเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังที่ศาลดังกล่าวแล้วเมื่อเดือน ม.ค. และ ก.พ. ที่ผ่านมา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ที่โจทก์ยื่นฎีกาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องนั้น โจทก์มีเพียงพนักงานสอบสวนเบิกความว่าจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และนำไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยจำเลยที่ 1 ให้การว่ารู้จักกับจำเลยที่ 2 มา 2-3 ปี เนื่องจากมีแนวคิดทางการเมืองเป็นคนเสื้อแดงเหมือนกัน วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งจำเลยที่ 1 ให้ไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว ศาลเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์มีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต โจทก์จะต้องนำสืบความจริงโดยปราศจากข้อสงสัย แต่การนำสืบได้ความว่าจำเลยที่ 1 รับสารภาพในชั้นสอบสวน ถึงแม้จะมีน้ำหนักรับฟังพยานได้ก็เป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนจะต้องมีเหตุผลหนักแน่นน่ารับฟังโดยปราศจากข้อสงสัย แต่ก็ยังพบว่าบันทึกคำให้การข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1 มีความขัดแย้งกัน ทั้งที่เบิกความห่างกันไม่เกิน 7 วัน แต่จำเลยที่ 1 กลับให้การแตกต่างกัน อีกทั้งที่จำเลยที่ 1 ให้การว่ามีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกับจำเลยที่ 2 ซึ่งตรงนี้โจทก์สามารถตรวจสอบได้จากบริษัทผู้ให้บริการมือถือ แต่โจทก์ไม่กระทำ ทั้งที่จะเป็นพยานหลักฐานที่จะนำมาประกอบคำรับสารภาพให้มีน้ำหนักได้

ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์มีแต่เพียงพยานบอกเล่าเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน ไม่มีพยานหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์ในช่วงวันเวลาเกิดเหตุ อีกทั้งยังไม่มีพยานหลักฐานอื่นๆ ส่วนประเด็นอื่นศาลอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานโจทก์โดยให้เหตุผลไว้ชอบแล้ว ประกอบกับจำเลยที่ 1 และ 2 ให้การปฏิเสธในชั้นศาล พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายืนยกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายณรงค์ศักดิ์และนายพีรพงษ์ ยังเป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำ อ.3820/2557 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, กระทำการให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลฯ, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ กรณีเมื่อวันที่ 7 มี.ค.2557 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองใช้อาวุธสงครามเอ็ม 79 ยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. บริเวณหน้าอาคารชินวัตร 3 แขวงและเขตจตุจักร กทม. ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกนายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 35 ปี 4 เดือน และยกฟ้องนายพีรพงษ์ จำเลยที่ 2


อย่างที่กล่าวไว้แต่ต้น  คำวินิจฉัยของศาลฯ นั้นชัดในตัวเองอยู่แล้วว่า...ความแน่นหนาของคดีนั้น...แน่นหนาเพียงไร และฝ่ายโจทย์กระทำหรือไม่กระทำ...ในสิ่งใดตามที่ศาลฯ ระบุ และคงต้องถามดัง ๆ ตรงนี้ว่า ใยจึงปล่อยปละละเลย (ตามที่ศาลฯ วินิจฉัย) เช่นนั้น และเหนืออื่นใดก็คือ มีคดีคล้าย ๆ กันนี้ของชาวเสื้อแดง โดยเฉพาะคดีก่อการร้ายของแกนนำที่อยู่ในชั้นสืบพยานฯ ซึ่งนับแต่นี้สังคมอาจต้องช่วยกันจับตาดูอย่างจริงจัง...