ทุนฝรั่ง จ่อเข้าเอเชีย! จับตา สหรัฐฯ กีดกันการค้า เขย่าตลาดหุ้นโลก

ทุนฝรั่ง จ่อเข้าเอเชีย! จับตา สหรัฐฯ กีดกันการค้า เขย่าตลาดหุ้นโลก

ทุนฝรั่ง จ่อเข้าเอเชีย! จับตา สหรัฐฯ กีดกันการค้า เขย่าตลาดหุ้นโลก

 

บล.ทรีนีตี้ฯ ชี้! กลางปี ‘หุ้นไทย’ มีโอกาสทดสอบ 1900 จุด จากกระแสเงินทุนไหลเข้า การใช้งบกลาง 1.5 แสนล้านบาท ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศได้ผ่านช่วงการเร่งขึ้นดอกเบี้ยเฟดแล้ว จับตาแรงกดดัน “สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน” ... บล.เมย์แบงก์กิมเอ็งฯ มองตลาดหุ้นไทยยังสดใส แต่ผันผวนมากขึ้น แนะหุ้นพลังงาน ปิโตรฯ ไอซีที และโรงพยาบาลใหญ่

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกในช่วงไตรมาส 2 ต่อเนื่องไตรมาส 3 จากปัจจัยต่างประเทศ ที่นักลงทุนให้น้ำหนักกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ผ่านช่วงเวลาการเร่งขึ้นดอกเบี้ยเฟด ที่ได้ปรับขึ้น 5 ครั้ง ในรอบ 15 เดือน ล่าสุด (21 มี.ค. 2561) ปรับขึ้นอีก 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% โดยแนวโน้มที่เฟดจะปรับขึ้นอีก 3-4 ครั้ง คาดว่าจะใช้เวลา 2 ปี ขณะที่ ดอกเบี้ยธนาคารกลางญี่ปุ่น คาดยังทรงตัวต่ำกว่า 0.5% ต่ออีก 5 ปี ประกอบกับดอกเบี้ยธนาคารกลางยุโรป คาดว่าจะเป็นบวกครั้งแรกในช่วงต้นปี 2563

 

ทุนฝรั่ง จ่อเข้าเอเชีย! จับตา สหรัฐฯ กีดกันการค้า เขย่าตลาดหุ้นโลก

 

ขณะที่ ปัจจัยในประเทศยังเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้นไทย จากกระแสเงินทุน (Fund Flow) ไหลเข้าสู่การลงทุนในตลาดทุน ซึ่งจะเห็นในกลางปีนี้ และสภาพคล่องในประเทศจากมาตรการการใช้งบประมาณกลางปี 2561 ของกระทรวงการคลัง วงเงินกว่า 1.5 แสนล้านบาท ส่งออกปีนี้ที่คาดขยายตัวได้ 7-8% ต่อปี

“Fund Flow ที่ไหลเข้าสู่เอเชียในเวลานี้ มุ่งหน้าเข้าสู่การลงทุนในตลาดหุ้น จะเริ่มจากตลาดหุ้นจีนก่อน หลังจากต้นปีที่ผ่านมา เข้าลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ดังนั้น คาดว่าปลายไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 ดัชนีมีโอกาสทดสอบ 1900 จุด หรือเกิดปรากฏการณ์ ‘Mid-Year Rally’ โดยมีดัชนีเป้าหมายที่ 1884 จุด ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของ Forward PE (x) ย้อนหลัง 3 ปี ที่ระดับ 15.5 เท่า และอยู่บนพื้นฐานที่กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนของปี 2562 เฉลี่ยที่ระดับ 121.5 บาทต่อหุ้น” นายวิศิษฐ์ กล่าว

หุ้นที่แนะนำลงทุน เป็นกลุ่มปิโตรเคมี, รถยนต์ที่มียอดส่งออกค่อนข้างดี และกลุ่มอุปโภคบริโภคที่ได้รับอานิสงส์จากการใช้งบกลาง 1.5 แสนล้านบาท

ส่วนประเด็นที่ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงมากสุด บล.ทรีนีตี้ฯ ให้น้ำหนักเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ - จีน ที่นำไปสู่การขายพันธบัตรสหรัฐฯ ของธนาคารกลางจีน จนอาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์กิมเอ็งฯ มองตลาดหุ้นไทยปีนี้ ว่า ในครึ่งปีแรกตลาดหุ้นยังสดใส แนวโน้มยังดีต่อเนื่อง แต่จะมีความผันผวนมากกว่าในปี 2560 ที่ผ่านมา นักลงทุนควรจะมีความระมัดระวังมากขึ้น

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์กิมเอ็งฯ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยตามปัจจัยพื้นฐานจะอยู่ที่ระดับ 1830 ประเด็นที่อาจจะส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่นักลงทุนควรจับตา คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.90% ถ้าหากว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ขึ้นไปถึงระดับ 3.00% และสามารถยืนระดับอยู่ได้ จะเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง จะส่งผลให้เกิดความผันผวนระลอกแรกต่อตลาดหุ้น

ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่นักลงทุนควรจับตามอง คือ การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED หากในเดือน มิ.ย. มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก จะเกิดความผันผวนต่อตลาดหุ้นในระลอกที่ 2 ได้

ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์กิมเอ็งฯ ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/2561 ว่า จะเป็นลักษณะ Event Play มีประเด็นที่น่าจับตา คือ การประชุมของกลุ่ม OPEC ในเดือน มิ.ย., การประชุมของ FED ในเดือน มิ.ย., การประมูลคลื่นความถี่, ประเด็นการขึ้นค่าแรงที่จะส่งผลต่อเงินเฟ้อ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะมีทยอยออกมามากกว่านี้ในสินค้ากลุ่มอื่น ๆ นอกเหนือจากเหล็กและอะลูมิเนียม

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมองว่า แนวโน้มปีนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโอกาสขึ้นไปถึงระดับ 1870 หุ้น ในกลุ่มที่จะนำตลาด ยังคงเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งมีผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์ไว้ ในขณะที่ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กแนวโน้มผลประกอบการยังไม่สดใส หุ้นที่น่าสนใจยังคงเป็นกลุ่มพลังงาน, กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มธุรกิจไอซีที และกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย จก. (มหาชน) กล่าวว่า สมรภูมิการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ มาถึงจุดเดือด เมื่อจีนเริ่มออกมาตรการ Tariffs ตอบโต้สหรัฐฯ โดยจีนประกาศแผนเก็บภาษีศุลกากรการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากเหล็กและเนื้อหมู วงเงิน 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

บล.กสิกรไทยฯ ยังเชื่อว่า จะไม่รุนแรงถึงขั้นเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ โดยต้องรอติดตามว่า จะมีการเรียกร้องให้มีการเจรจา เพื่อแก้ปัญหาก่อนที่จะบานปลายไปมากกว่านี้หรือไม่ มองว่าการปรับร่วงของตลาดจะเป็นโอกาสในการเข้าเก็บหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากเรื่องสงครามการค้า จำกัด อาทิ กลุ่มค้าปลีก, โรงพยาบาล, โรงไฟฟ้า และสื่อสาร

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,351 วันที่ 25-28 มี.ค. 2561 หน้า 17


ขอบคุณที่มา   ฐานเศรษฐกิจ