- 01 พ.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
หลังจากยืดเยื้อมาระยะหนึ่ง จากการที่กระทรวงต่างประเทศมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือเดินทาง นายทักษิณ ชินวัตร วันนี้ (1 พ.ค.) ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.141222559 หเมายเลขแดงที่ อ.373/2561 ในชั้นอุทธรณ์คดีที่ นายทักษิณ ยื่นฟ้องอธิบดีกรมการกงสุล และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กรณียกเลิกหนังสือเดินทางทั้ง 2 ฉบับของนายทักษิณ โดยศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัย ยืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง
โดยคำพิพากษาส่วนหนึ่งระบุว่า การที่กรมการกงสุลคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว เนื่องจากปรากฎข้อเท็จจริงว่าการให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณกับสื่อมวลชนของประเทศเกาหลี มีเนื้อหาพาดพิงต่อองคมนตรี ซึ่งเป็นผู้ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ ในทำนองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
ถ้อยคำดังกล่าวจึงถือเป็นปรปักษ์กับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการกระทบต่อชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศ ส่วนกรณีนายทักษิณอ้างว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ และไม่เป็นธรรมนั้น ศาลปกครองเห็นว่า เนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้กระทำความผิดเอง จึงไม่สามารถอ้างว่า หน่วยงานผู้ใช้อำนาจเรื่องการเลือกปฎิบัติได้ และให้ถือว่าคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางนั้นชอบด้วยกฎหมาย
ขณะเดียวกันศาลปกครองยังเห็นว่าการเพิกถอนหนังสือเดินทางดังกล่าวไม่ได้มีผลโดยตรงต่อเสรีภาพเรื่องการห้ามเดินทาง แต่เสรีภาพการเดินทางเป็นเรื่องข้อกำหนดของแต่ละประเทศ รัฐจึงย่อมมีอำนาจกำหนดข้อปฏิเสธในการออกหนังสือเดินทางเพื่อป้องกันผู้กระทำผิดหลบหนีและป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดเสื่อมเสียต่อประเทศชาติ
ก่อนหน้านั้นศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2559 ให้ยกฟ้องคดี เนื่องจากเห็นว่าข้อกำหนดเกี่ยวกับระเบียบการออกหนังสือเดินทางและเอกสารการเดินทาง ขั้นตอนและวิธีการในการขอหนังสือเดินทางและเอกสารฯ ข้อ 21 (4) ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธหรือยับยั้งการขอ หรือแก้ไขหนังสือเดินทางได้ เมื่อผู้ร้องกระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติราชการ ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือปิดบังความจริงอันเป็นสาระสำคัญ หรือแสดงเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จในการขอหนังสือเดินทาง หรือไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศ หรือหากเดินทางออกนอกราชอาณาจักรจะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพของผู้เดินทางเองหรือกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงปลอดภัย หรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย
และข้อ 23 กำหนดว่า พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้ เมื่อปรากฏภายหลังว่า (2) ผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางให้ตามข้อ 21 (4) เป็นหลักเกณฑ์เงื่อนไขบางประการที่กำหนดให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธ หรือยับยั้งหรือยกเลิกหนังสือเดินทางได้ ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลในการเดินทางโดยเด็ดขาดแต่อย่างใด ดังนั้นระเบียบดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพในการเดินทางและกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพในการเดินทางตามที่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 มาตรา 29 และมาตรา 34 บัญญัติรับรองไว้ รวมทั้งไม่ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง