ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

จากกรณีที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายในโลกโซเชียล เมื่อเฟซบุ๊กแฟนเพจ "แหม่มโพธิ์ดำ" ได้โพสต์คลิปพร้อมข้อความระบุว่า ไอ้เด็กหมวกกันน็อคสีแดงมันวิ่งมากระโดดถีบลุงเค้า คงจะปาดกันมา แต่ก็ไม่น่าใช้กำลังกันขนาดนี้ ลุงแกมีเด็กมาด้วยแต่ก็สู้ยิบตาเลย พิกัดเกิดเหตุ ป้ายวัดสนมุ่งหน้า พระประแดง ท้องที่ สน. ราชบูรณะ

 

ต่อมา มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนเองคือชายหมวกกันน็อคแดงที่อยู่ในคลิป...ผมเองครับที่ต่อยกับลุง คดีความผมจบ ลุงกับผม เสียหายทั้งคู่ ขอไม่พิมมากน่ะครับ ผมจะแจ้งจับให้หมดเลยเกี่ยวกับพรบ.คอมพิวเตอร์ข้อหาหมิ่นประมาท แระทำ ให้ผมเสียหาย #แระถ้าไม่หยุดคอมเม้นผมแจ้งจับแน่

 

ชาวเน็ตเข้าใจไหม? หนุ่มกันน็อคแดงเล่าเป็นฉาก ๆ นาทีทะเลาะกับลุงกลางถนน ลั่นต่อยคนแก่มีเหตุผล!!

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด นายยศพัฒน์ เวสา หรือ ซี ชายหมวกกันน็อคแดง กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า จุดเริ่มต้นมาจากการขับรถปาดหน้ากัน โดยลุงในคลิปขับรถมาตามเลนซ้ายปกติ แต่พอขับมาถึงจุดเกิดเหตุ ตนเองจึงขับปาดหน้าคืนทำให้ลุงไม่พอใจ จอดรถลงมามีเรื่องทะเลาะกัน ยอมรับว่าตนเองอารมณ์ร้อนจึงลงไปกระโดดถีบลุง 1 ครั้ง หลังจากตนหยิบหมวกกันน็อคมาใส่กำลังจะขับรถออกไป ลุงเหมือนไม่พอใจ ตั้งท่าเข้ามาหาเรื่องอีก ตนเองจึงเข้าไปชกต่อยด้วยอีกรอบ 

 

ชาวเน็ตเข้าใจไหม? หนุ่มกันน็อคแดงเล่าเป็นฉาก ๆ นาทีทะเลาะกับลุงกลางถนน ลั่นต่อยคนแก่มีเหตุผล!!

 

จากนั้นตำรวจให้ไปเจอกันที่สน.ราษฎร์บูรณะ และเมื่อมีการพูดคุย คุณลุงก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร เพราะคุณลุงก็ยอมรับว่าตนเองก็อารมณ์ร้อน โดยลุงบอกว่า “ลุงไม่ได้ติดใจอะไร อยากให้ลูกแค่มาขอโทษ” จึงได้ตกลงกันได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ให้จ่ายค่าปรับ คนละ 400 บาท ฐานก่อเหตุทะเลาะวิวาท 

 

ชาวเน็ตเข้าใจไหม? หนุ่มกันน็อคแดงเล่าเป็นฉาก ๆ นาทีทะเลาะกับลุงกลางถนน ลั่นต่อยคนแก่มีเหตุผล!!

 

อย่างไรก็ตาม นายยศพัฒน์ได้กล่าวขอโทษสังคม ที่ตัวเองใช้อารมณ์ร้อนตามประสาวัยรุ่นคนหนึ่ง ทั้งนี้ คุณลุงคนดังกล่าวก็ถือว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน เคยเจอหน้ากันอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ได้มีเรื่องอะไรมาก่อน ทั้งนี้ตนยอมรับผิดทั้งหมดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ย้ำว่าทุกอย่างที่ทำไปมีเหตุผลเสมอ

 

ชาวเน็ตเข้าใจไหม? หนุ่มกันน็อคแดงเล่าเป็นฉาก ๆ นาทีทะเลาะกับลุงกลางถนน ลั่นต่อยคนแก่มีเหตุผล!!

 

 

 

 

ขอบคุณที่มา : รายการทุบโต๊ะข่าว อมรินทร์ทีวี