"การชุมนุมของ นปช.ไม่ใช่ชุมนุมโดยสงบ-มีพวกติดอาวุธปะปน จนท.จึงต้องเข้าสลายฯ" คือไฮไลท์ที่ "ป.ป.ช." ถลกหนังแกนนำแดง-หลังตื้อขอรื้อคดี 99 ศพ

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 


ดูเหมือนคำแถลงของ "นายวรวิทย์ สุขบุญ" เลขาธิการ ป.ป.ช. ต่อกรณีที่มีมติไม่รับคำร้องของ "นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" แกนนำแดงตัวเอ้ ที่อ้างว่าได้ยื่นหลักฐานใหม่ เพื่อขอให้ ป.ป.ช. รื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุมเสื้อแดงปี 2553 ที่ ป.ป.ช. เคยยกคำร้อง "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อดีตนายกรัฐมนตรี และ"นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกรัฐมนตรี ว่าทั้ง 2 คนไม่มีความผิดในการสั่งสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.จะเป็นการถลกหนังแกนนำแดง...ที่มักจะกล่าวอ้างว่า...ม็อบแดงคือม็อบที่เรียกร้องประชาธิปไตย และชุมนุมโดย...สงบ...จนสิ้น

 

เพราะวันนี้ (22 มิ.ย.) นายวรวิทย์ ยืนยันอีกครั้งว่า ทาง ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า การชุมนุมของ นปช. ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม จึงจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ต้องสลายการชุมนุมเพื่อความสงบของบ้านเมือง และเจ้าหน้าที่สามารถนำอาวุธติดตัวได้ เพื่อป้องกันตัวตามหลักสากล

 

ทั้งยังระบุด้วยว่า  “ประเด็นที่ นปช. พยายามหยิบการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ มาเทียบเคียงนั้น ป.ป.ช. พบว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีการพกพาอาวุธติดตัวปะปนในกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย ขณะที่การสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อให้รัฐบาลเข้าไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และไม่ได้วางแผนมาก่อน ต่างจากการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.เพื่อให้เกิดความสงบสุขของบ้านเมือง พิจารณาวางแผนอย่างเป็นลำดับขั้นตอนเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีก”  เลขาฯ ป.ป.ช. กล่าวระบุด้วยว่า

 

"การสลายพันธมิตรฯ นั้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์" และพวกมีความผิดในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งระดับนโยบายตามความผิดทางอาญา มาตรา 157 ส่วนกรณีของ นายอภิสิทธิ์ การกระทำไม่มีมูลความผิดทางอาญา และได้ส่งเรื่องให้ดีเอสไอดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทหารกรณีที่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ ป.ป.ช. ยืนยันว่า การวินิจฉัยเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่มีพยานหลักฐานชัดเจน ขณะเดียวกัน หลักฐานที่ นายณัฐวุฒิ ยื่นต่อป.ป.ช.ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่สามารถรื้อฟื้นคดีได้ และได้ส่งหลักฐานที่ นายณัฐวุฒิ ยื่นเพิ่มเติมต่อ ป.ป.ช. ไปให้ดีเอสไอพิจารณารวมกับคดีในส่วนของนายทหารระดับสูงและ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ ที่ก่อนหน้านี้ป.ป.ช.เคยส่งกลับไปให้ดีเอสไอดำเนินการในส่วนเจ้าหน้าที่แล้ว


"คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่เคยละเลยกรณีที่มีผู้เสียชีวิต แต่เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของดีเอสไอ ซึ่งป.ป.ช.จะติดตามและประสานอย่างใกล้ชิด ยืนยันว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาตามพยานหลักฐานที่ปรากฎในสำนวน" เลขาฯ ป.ป.ช. ทิ้งท้าย

อย่างที่กล่าวไว้แต่ต้น คำแถลงของเลขาฯ ป.ป.ช. ดูจะเป็นการถลกหนังแกนนำแดงจนสิ้น โดยเฉพาะประโยคที่ว่า "การชุมนุมของ นปช. ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม จึงจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ต้องสลายการชุมนุมเพื่อความสงบของบ้านเมือง"....นั่นยิ่งเปลื้องเปลือย....ม็อบจอมปลอม...ที่พากันสวมหน้ากากประชาธิปไตย และลงสู่ท้องถนน เพื่อปกป้องความผิดของคนตระกูลตระกูลเดียวจนสิ้น

ความจริงความรุนแรงระดับเมืองหลวงกลายเป็นแดนมิคสัญญี...อันเกิดจากการกระทำของ...ชาวแดงผู้งมงายในประชาธิปไตยแบบกระพี้ ๆ เป็นความจริงเชิงประจักษ์ที่คนไทยผู้รักความเป็นธรรมรับรู้รับทราบกันทุกผู้นามมานานแล้วนับแต่ปี 53 เพราะในวันที่เข้าสลายการชุมนุมมีการปะทะกันหลายต่อหลายรอบระหว่างทหาร และกองกำลังแดงติดอาวุธที่เรียกกันว่า "ชายชุดดำ" หลุดออกมาให้เห็นแบบจะจะ...กระทั่งนำมาซึ่งการสูญเสีย พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (ยศในขณะนั้น) ก่อนจะลงเองด้วยการเผาบ้านเผาเมือง...จากแดงผู้บ้าคลั่งไปหลายแห่งทั้งเมืองหลวง และจังหวัดใหญ่ ๆ ภาคอีสาน


ไม่นับพฤติการณ์อันหลากหลายของพวกเขา อาทิ การบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ การสร้างป้อมค่ายด้วยไม่ไผ่ หลาวแหลนบริเวณสวนลุมพินี การใช้เด็กเป็นโล่มนุษย์ขณะโจมตีทหาร ฯลฯ รวมทั้งการนับตัวเลขคนตาย 99 ศพ ที่พวกเขากล่าวอ้างนั้น...ก็เป็นการบวกรวมที่นับเอาศพทหารที่พวกเขากล่าวหาว่าเป็นฆาตกรรวมเข้าไปด้วยแบบไม่ละอาย และไร้สำนึกอย่างที่สุด

แม้แต่คำวินิจฉัยของศาล ก็ระบุชัดว่า "การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ และมีผู้ที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่ม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ.ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืนเพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวหากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ อันเป็นไปตามหลักสากล และหากเกิดความสูญเสียขึ้นก็จะเป็นความรับผิดชอบเฉพาะตัวที่บุคคลนั้นต้องชี้แจงต่อศาล"  

ว่าไปแล้วคำวินิจฉัยของศาล ดูจะสอดคล้องกับความเห็นจากรายงานฉบับสมบูรณ์ของ "คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ" หรือ  คอป.ที่มี ศ.คณิต ณ นคร เป็นประธานที่สรุปว่ามี “ชายชุดดำ” หรือกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย ที่ออกมาเคลื่อนไหวปะปนอยู่ในหมู่ผู้ชุมนุม นปช.ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค.2553 พร้อมใช้อาวุธสงครามตอบโต้กับทหารในเหตุการณ์สำคัญๆ ทั้งสี่แยกคอกวัว-โรงเรียนสตรีวิทยา ไปจนถึงวันปทุมวนาราม นำไปสู่ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินในเวลาต่อมา


แม้ต่อมา นปช. จะโต้แย้งรายงานฉบับดังกล่าวอย่างรุนแรงก็ตาม แต่พยานหลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากที่ คอป. นำเสนอไว้คราวนั้นก็ทำให้สังคมเห็นแจ้งว่า..."ม็อบแดงนั้นกระหายความรุนแรงแค่ไหน"

จริงไม่จริง....ก็พิจารณาจากแก้ว 3 ประการ อันประกอบไปด้วย คนเสื้อแดง พรรคการเมือง และกองกำลังติดอาวุธ ที่แกนนำแดงอย่าง "อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง" หลุดปากประกาศกร้าวบนเวทีก่อนเผาเมืองดูก็ได้

....เหตุนี้ เมื่อเลขาธิการ ป.ป.ช. ระบุโต้ง ๆ อีกครั้งว่า "การชุมนุมของ นปช. ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม" จึงไม่ต่างอะไรกับการถลกหนังแกนนำแดง ที่พยายามตื้อขอรื้อคดี 99 ศพ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า...ม็อบของตนนั้น...บริสุทธิ์หรือเลวร้ายแค่ไหน...แม้นายณัฐวุฒิ จะโต้แย้งกับมติ ป.ป.ช.ในวันนี้...ตามสไตล์ของตนเองอย่างรุนแรงก็ตาม