ปาฏิหาริย์บังเกิด!! "หลวงปู่หล้าตาทิพย์" ตั้งใจส่งกระแสจิตถวายพระพร "ในหลวง ร.๙" อย่างสุดกำลัง จนมีแสงออกจากหน้าผาก!!

ปาฏิหาริย์บังเกิด!! "หลวงปู่หล้าตาทิพย์" ตั้งใจส่งกระแสจิตถวายพระพร "ในหลวง ร.๙" อย่างสุดกำลัง จนมีแสงออกจากหน้าผาก!!

หลวงปู่หล้า จันโทภาโส เกจิชื่อดังแห่งวัดป่าตึง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากปฏิปทาของท่านที่อัศจรรย์เสมือนมี อภิญญา คือ ตาทิพย์-หูทิพย์ ซึ่งทำให้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ชื่อเสียงของหลวงปู่หล้า เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปก็เนื่องด้วยท่านเป็นพระที่ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในหลักศีลธรรมอันงดงาม เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น หลวงปู่หล้าท่านได้รับสมญานามจากศรัทธาญาติโยมว่ามีญาณวิเศษที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ข้างหน้าได้ จนชาวบ้านทั่วไปเรียกท่านว่า

หลวงปู่หล้าตาทิพย์

ปาฏิหาริย์บังเกิด!! "หลวงปู่หล้าตาทิพย์" ตั้งใจส่งกระแสจิตถวายพระพร "ในหลวง ร.๙" อย่างสุดกำลัง จนมีแสงออกจากหน้าผาก!!

หลวงปู่หล้า (พระครูจันทสมานคุณ) ท่านเกิดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๕ ซึ่งอยู่ในช่วงผลัดเปลี่ยนเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่สมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๗ กับเจ้าอินทวโรรส สุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๘ หลวงปู่หล้าเกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๑๑ ตรงกับวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๔๔๑ ที่บ้านปง ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โยมพ่อชื่อ นายเงิน โยมแม่ชื่อ นางแก้ว นามสกุล บุญมาคำ เหตุที่มีนามสกุลนี้ หลวงปู่หล้าเล่าว่า

เพราะพ่ออุ๊ย (ปู่) ชื่อบุญมา แม่อุ้ย (ย่า) ชื่อ คำ เมื่อมีการตั้งนามสกุล กำนันจึงตั้งให้เป็น บุญมาคำ หลวงปู่หล้าเป็นบุตรคนสุดท้องของครอบครัวจากจำนวนพี่น้อง 4 คน เมื่ออายุได้ 1 ขวบ ต้องกำพร้าพ่อ โยมแม่จึงได้เลี้ยงดูลูกทั้งหมดเพียงลำพัง หลวงปู่หล้าเล่าให้ฟังว่า การเลี้ยงลูกสมัยก่อน ต้องช่วยกันทำงาน ช่วยเลี้ยงวัว หากใครทำผิดก็จะถูกเฆี่ยน ทำพลาดก็ถูกเอ็ด

 

ปาฏิหาริย์บังเกิด!! "หลวงปู่หล้าตาทิพย์" ตั้งใจส่งกระแสจิตถวายพระพร "ในหลวง ร.๙" อย่างสุดกำลัง จนมีแสงออกจากหน้าผาก!!

เมื่อหลวงปู่หล้าอายุได้ ๘ ขวบ โยมแม่ก็นำไปฝากกับครูบาปินตา เจ้าอาวาสวัดป่าตึงให้เป็นเด็กวัด หลวงปู่หล้าจึงได้มีโอกาสเรียนหนังสือเป็นครั้งแรกกับครูบาอินตา ซึ่งสมัยนั้นจะเรียนหนังสือพื้นเมือง จนอายุได้ ๑๑ ขวบก็ได้บวชเป็นสามเณรในช่วงเข้ารุกขมูล เข้ากรรมอยู่ในป่า การเข้ากรรม หรือ อยู่กรรม เรียกว่า ประเพณีเข้าโสสานกรรมซึ่งเป็นประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนาที่พระสงฆ์จะต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งมักจะกระทำกันในบริเวณป่าช้าที่อยู่นอกวัด พระสงฆ์และผู้ที่เข้าบำเพ็ญ โสสานกรรมจะต้องถือปฏิบัติเคร่งครัดเพื่อต้องการบรรเทากิเลสตัณหา

ขณะที่บวชเป็นสามเณรอยู่นั้น หลวงปู่หล้าไม่ได้เรียนแต่เพียงหนังสือพื้นเมืองเท่านั้น แต่ยังได้เรียนหนังสือไทยไปด้วย โดยเรียนกับพระอุ่นซึ่งเคยไปจำพรรษาที่วัดอู่ทรายคำในเมืองเชียงใหม่ และเรียนหนังสือไทยที่โรงเรียนประจำมณฑลพายัพ ปัจจุบันคือโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย แต่ครูบาปินตาไม่สนับสนุนให้พระเณรเรียนหนังสือไทย ในที่สุดพระอุ่นจึงต้องเลิกสอน หลวงปู่หล้าศึกษาเล่าเรียนทั้งอักขรวิธีและธรรมปฏิบัติกับครูบา ปินตาเรื่อยมาจนกระทั่งอายุได้ ๑๘ ปี จึงเดินทางเข้าไปจำพรรษาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ เพื่อเรียนนักธรรมที่วัดเชตุพน หลวงปู่หล้าเรียนนักธรรมที่วัดเชตุพนเพียง ๑ ปี ยังไม่ทันสำเร็จก็ต้องเดินทางกลับวัดป่าตึง เพื่อปรนนิบัติครูบาปินตาที่ชราภาพ หลวงปู่หล้าอยู่ปรนนิบัติครูบาปินตาจนกระทั่งล่วงเข้าปี พ.ศ.๒๔๖๗ ครูบาปินตาก็มรณภาพด้วยวัย ๗๔ ปี ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่หล้าอายุ ๒๗ ปีเท่านั้น หลวงปู่หล้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าตึงต่อจากครูบาปินตา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๗ และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลออนใต้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๗

 

ปาฏิหาริย์บังเกิด!! "หลวงปู่หล้าตาทิพย์" ตั้งใจส่งกระแสจิตถวายพระพร "ในหลวง ร.๙" อย่างสุดกำลัง จนมีแสงออกจากหน้าผาก!!

 

นอกจากนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๗ เมื่อครูบาศรีวิชัย ได้สร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ โดยเริ่มสร้างตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๗๗ จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๗๘ รวมเป็นเวลา ๕ เดือนกับ ๒๒ วัน ในครั้งนั้นหลวงปู่หล้าได้เดินทางไปร่วมสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพด้วย หลวงปู่หล้าเล่าถึงความยากลำบากในการสร้างถนนไว้ในหนังสือ ประวัติวัดป่าตึงว่า การสร้างถนนมีการแบ่งงานกันตามกำลังของคน ผู้คนที่ไปร่วมเป็นชาวบ้านจากวัดป่าตึงทำได้ ๕ วาใช้เวลา ๑๔ วัน ส่วนพวกที่มาจากเมืองพานทำได้ ๖๐ วา

จนเมื่อปี ๒๕๐๔ หลวงปู่หล้าได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็น พระครูจันทสมานคุณ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุ ๖๓ ปี มีคนพากันยกย่องหลวงปู่หล้าว่าท่านสามารถรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งฝนตั้งเค้าจะตกหนัก หลวงปู่บอกให้พระเณรรีบออกจากกุฏิ เพราะกุฏิเก่าและทรุดโทรมมากและมีต้นลานขนาดใหญ่อยู่ข้างกุฏิ ปรากฏว่าวันนั้นฝนตกหนักกิ่งต้นลานก็หักโค่นลงมาทับกุฏิพัง พระเณรที่อยู่ในวัดทุกคนปลอดภัยและพากันสรรเสริญว่า ท่านมีตาทิพย์ นอกจากนั้นยังมีเรื่องเล่าอีกว่า เช้าวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๕ หลวงปู่หล้าให้พระเณรรีบทำความสะอาดวิหารเพราะจะมีแขกมาหาที่วัด ครั้นพอถึงเวลา ๖ โมงเช้า พระศรีธรรมนิเทศ เจ้าอาวาสวัดสันป่าข่อยนำญาติโยมมาหา ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงพากันเรียกท่านว่า "หลวงปู่หล้าตาทิพย์"

 

ปาฏิหาริย์บังเกิด!! "หลวงปู่หล้าตาทิพย์" ตั้งใจส่งกระแสจิตถวายพระพร "ในหลวง ร.๙" อย่างสุดกำลัง จนมีแสงออกจากหน้าผาก!!

 

 

 

อีกเหตุการณ์หนึ่งคือ  ครั้งหนึ่งมีคณะผู้มากราบนมัสการหลวงปู่หล้าเกินจำนวนที่แจ้งความประสงค์จะขอของขลังจากท่าน แต่ท้ายที่สุดก็ได้รับแจกกันครบทุกคนอย่างน่าอัศจรรย์ ... จึงเชื่อกันว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของท่าน ไม่เพียงเท่านั้น  อดีตครูใหญ่ของโรงเรียนบ้านป่าตึงท่านหนึ่งเล่าเพิ่มเติมว่า  เช้าวันหนึ่งประมาณตี ๕ หลวงปู่หล้าได้ให้พระเณรรีบทำความสะอาดวิหาร (ราวกับว่าจะมีแขกมาหาที่วัด)  ปรากฏว่า พอถึง ๖ โมงเช้า พระศรีธรรมนิเทศ เจ้าอาวาสวัดสันป่าข่อย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ก็นำคณะญาติโยมมาหาท่านที่วัดจริงๆ หรือเวลาที่มีชาวบ้านทำของหายหรือถูกลักขโมย เมื่อมาถามหลวงปู่หล้า ท่านก็จะบอกให้ไปตามทิศนั้นทิศนี้ จนกระทั่งได้ของคืนมาทุกครั้ง  แต่หากท่านห้ามว่า ไม่ต้องไปตามเพราะจะไม่ได้คืน ก็จะเป็นจริงตามนั้น

 

 

ปาฏิหาริย์บังเกิด!! "หลวงปู่หล้าตาทิพย์" ตั้งใจส่งกระแสจิตถวายพระพร "ในหลวง ร.๙" อย่างสุดกำลัง จนมีแสงออกจากหน้าผาก!!

 

 

ปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งก็คือ เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ หัวเมืองเหนือ พระองค์ท่านได้เสด็จนมัสการหลวงปู่หล้าที่วัดจนเป็นที่เอิกเกริก  ประชาชนจำนวนมากแห่แหนไปต้อนรับพระองค์อย่างมืดฟ้ามัวดิน เมื่อพระองค์ท่านจะเสด็จกลับ หลวงปู่หล้าก็ได้ถวายพระพรแด่พระองค์ ซึ่งคราวนี้ดูหลวงปู่จะตั้งใจเป็นพิเศษ

ปรากฏว่า หลังจากล้างรูปขณะที่หลวงปู่หล้าถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่นั้น...มีแสงสีส้มแดงที่หน้าผากของหลวงปู่!! อันแสดงถึงกระแสจิตของหลวงปู่ที่ตั้งใจและอัดอย่างเต็มที่แก่พระราชาผู้เป็นธรรมราชาแห่งแผ่นดินสยาม

 

 

ปาฏิหาริย์บังเกิด!! "หลวงปู่หล้าตาทิพย์" ตั้งใจส่งกระแสจิตถวายพระพร "ในหลวง ร.๙" อย่างสุดกำลัง จนมีแสงออกจากหน้าผาก!!

 

 

หลวงปู่หล้าเจริญอายุมาถึง ๙๕ ปี ก็ถึงแก่มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ยังความเศร้าสลดใจมาสู่พระสงฆ์ สามเณร ศรัทธาญาติโยมทั่วไป และต่างก็มาเคารพศพตั้งแต่วันที่ท่านมรณภาพ จวบจนปัจจุบันนี้ศพของหลวงปู่หล้าถูกบรรจุไว้ในโลงแก้วที่ประดับประดาด้วยดอกไม้ ตั้งอยู่บนกุฏิไม้สักที่งดงามในวัดป่าตึง หลวงปู่หล้าเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านถือปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้โปรดฯ เกล้าพระราชทานน้ำสรง ซึ่งยังความปลาบปลื้มปิติยินดีมาสู่ศิษยานุศิษย์ แม้ว่าหลวงปู่หล้า จะมรณภาพจากไปแล้ว ก็เป็นเพียงการจากไปแต่สรีระร่างกายเท่านั้น ส่วนคุณงามความดีที่ท่านได้สร้างเอาไว้หาได้ดับไป ด้วยคุณงามความดีที่หลวงปู่หล้าได้บำเพ็ญมาก็ดี คุณงามความดีที่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายได้บำเพ็ญมาก็ดีและคณะศรัทธาญาติโยมบำเพ็ญมาก็ดี ขอจงเป็นพลวะปัจจัยให้ดวงวิญญาณของหลวงปู่ได้ประสบสุขในสัมปรายภพนั้นด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก : board.palungjit

ขอบคุณภาพจาก : pralanna.com