- 18 ก.ค. 2561
เมนูยอดฮิต พบ “ไขมันทรานส์” สุดอันตราย วายร้าย คร่าชีวิตคนทั้งโลกได้ 5 แสน คน/ปี ทราบแล้วเลี่ยง เสี่ยงอายุสั้น!
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 ราชกิจจานุเบกษา มีการประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย เกี่ยวกับกรดไขมันทรานส์ (Trans Fatty Acids) อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่งและมาตรา 6 (8)แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 โดยปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่า กรดไขมันทรานส์ จากน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oils) ส่งผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ มีผลบังคับใช้อีก 180 วันหรือ 6 เดือนข้างหน้า ส่งผลให้วงการอาหาร-เบเกอรี่ ต้องปรับตัวครั้งใหญ่
ไขมันทรานส์ คือ ไขมันที่ไม่อิ่มตัว เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ขึ้นผ่านวิธีการแปรรูปโดยกระบวนการเติมไฮโดรเจนในน้ำมันพืช ทำให้น้ำมันซึ่งเป็นของเหลวเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในรูปของของแข็ง ซึ่งเราเรียกว่ากระบวนการนี้ไฮโดรจีเนชั่น(Hydrogenation) สาเหตุที่ผู้ประกอบการหลายรายเลือกที่จะนำเจ้าไขมันทรานส์นี้มาใช้ ก็เนื่องจากว่าไขมันชนิดนี้เป็นไขมันที่มีลักษณะไม่เป็นไข และสามารถทนกับความร้อนได้สูง เก็บไว้นานโดยไม่มีกลิ่นเหม็นหืนใดๆ รวมทั้งให้รสชาติเหมือนกับไขมันที่ได้จากสัตว์อีกด้วย และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือมีราคาถูก เรียกว่าลงทุนน้อยแต่ได้กำไรเน้นๆ จึงทำให้ผู้ประกอบการต่างๆ เลือกที่จะใช้ไขมันทรานส์นี้ในผลิตภัณฑ์หรืออาหารของตนนั่นเอง ไขมันทรานส์จัดเป็นไขมันชนิดที่อันตรายที่สุดชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้ การใช้ไขมันทรานส์ช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ แต่กลับส่งผลเสียให้กับผู้บริโภค
อันตรายของไขมันทรานส์
สำหรับใครที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารประเภททอดๆ ทั้งหลาย ที่มีกรดไขมันทรานส์มากเกินไปแล้วล่ะก็ จะส่งผลโดยตรงต่อระบบการทำงานของระบบเอนไซม์ในร่างกายของเรา ทำให้ไขมันชนิดดี(HDL)ในร่างกายของเราลดลงหรือถูกทำลายไป และเพิ่มจำนวนไขมันชนิดเลว(LDL)ให้แก่ร่างกายแทน นับว่าร้ายแรงกว่าไขมันชนิดอิ่มตัวเป็นอย่างมากเลยทีเดียว และไขมันทรานส์จอมวายร้ายนี้ยังไม่สามารถย่อยสลายได้ง่ายๆ อีกด้วย เนื่องจากเป็นไขมันแปรรูป ซึ่งทำให้ตับของเราต้องทำงานหนักเป็นดับเบิลทวีคูณ และนั่นจึงนำมาซึ่งโรคหรืออันตรายจากไขมันทรานส์ อาทิ
– โรคอ้วนลงพุง
– เสี่ยงต่อโรคภัยต่างๆ ทั้งโรคหัวใจ, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง ตลอดจนไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือด
– ทำให้เกิดภาวะความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานอาหารไขมันทรานส์
– เสี่ยงต่อการเกิดอาการจอประสาทตาเสื่อม
– ทำให้นิ่วในถุงน้ำดีอักเสบ
– อาจทำให้ผู้หญิงอยู่ในภาวะมีบุตรได้ยากขึ้น
ไขมันทรานส์มักพบในผลิตภัณฑ์อย่างเนยแข็ง มาร์การีน เนยขาว ซึ่งเป็นวัตถุดิบในขนมอบและเบเกอรี่บางชนิด โดยจากข้อมูลของกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ศึกษาปริมาณไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหารอบและอาหารทอดที่เก็บตัวอย่างมาในปริมาณ 100 กรัม เท่า ๆ กัน
1. โดนัทบาวาเรียน - ไขมันทรานส์ 675 มิลลิกรัม
2. เค้กเนย - ไขมันทรานส์ 400 มิลลิกรัม
3. เวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลต - ไขมันทรานส์ 396 มิลลิกรัม
4. พายทูน่า - ไขมันทรานส์ 395 มิลลิกรัม
5. เค้กสอดไส้ครีมคัสตาร์ด - ไขมันทรานส์ 378 มิลลิกรัม
6. ทอฟฟี่เค้ก - ไขมันทรานส์ 374 มิลลิกรัม
7. คุกกี้เนย - ไขมันทรานส์ 309 มิลลิกรัม
8. ขนมขาไก่ - ไขมันทรานส์ 288 มิลลิกรัม
9. บราวนี่ - ไขมันทรานส์ 286 มิลลิกรัม
10. ขนมปังไส้กรอก - ไขมันทรานส์ 263 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ยังพบไขมันทรานส์ได้ในอาหารชนิดอื่นๆ ดังนี้
– แฮมเบอร์เกอร์
– โดนัท ต่างๆ
– ขนมขบเคี้ยวต่างๆ
– เฟรนซ์ฟรายส์
– คุกกี้ ต่างๆ
– เนยขาว, เนยเทียม
– ครีมเทียม
– เค้ก ต่างๆ
– แคร็กเกอร์
– วิปครีม
– นักเก็ต
– อาหารประเภททอดๆ ที่ต้องใช้น้ำมันหรือไขมันทั้งหลาย
อาหารที่พบไขมันทรานส์ที่ใกล้ตัวที่สุด
ครีมเทียม บางยี่ห้อก็มีส่วนผสมของไขมันทรานส์เช่นกัน ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่นิยมเติมในเครื่องดื่มต่างๆ ที่คนไทยชื่นชอบ เช่น กาแฟเย็น นมเย็น ชาเย็น ชานมไข่มุก ฯลฯ ควรหลีกเลี่ยงครีมเทียมแล้วหันมาใช้ 'นมสด' ทดแทนจะดีที่สุด หรือ หากตรวจสอบแล้วว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวปลอดจากไขมันทรานส์แล้วก็สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย
วิธีหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์
ฉะนั้นก่อนจะรับประทานอะไรก็ลองเลือก ลองอ่านข้อมูลโภชนาการดูก่อน หากผู้บริโภคไม่แน่ใจว่าอาหารเจ้าไหนที่อันตรายบ้าง แนะนำว่าให้ลด หลีกเลี่ยง ในช่วงนี้ไปก่อน รอหลังจาก 180 วัน ถัดจากนี้ หลังจากที่จำกัดผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนออกไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่ควรรับประทานเยอะเกินไป เพราะถึงแม้อาหารเหล่านั้นจะปราศจากไขมันทรานส์แล้วก็ตาม แต่จังก์ฟู้ด ขนมเบเกอรี่ต่างๆ หรือ อาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง ก็ไม่ได้ให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกายดีเท่าที่ควร หากรับประทานมากก็อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ทำให้สุขภาพแย่ เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บได้ ฉะนั้นรับประทานแต่น้อยพอหายอยากดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
ขอบคุณภาพจาก : kapook