- 19 ส.ค. 2561
“เฉลิม อยู่บำรุง”ในวัย 71 ปี กับอาการปากกล้า..ขาสั่น ?
จากภาพเหตุการณ์การจัดงานวันเกิดของนายวัน อยู่บำรุง บุตรชายร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่จัดเลี้ยงขึ้นที่บ้านบางบอน เมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่าน ปรากฎว่า ร.ต.อ.เฉลิมได้กล่าวพาดพิงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช.และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในลักษณะท้าทาย ในทำนองว่าไม่กลัวต่ออำนาจ ของฝ่ายที่มีอำนาจอยู่ ณ ขณะนี้
ในภาพเหตุการณ์วันนั้นร.ต.อ.เฉลิมได้ประกาศต่อหน้าผู้ที่มาร่วมงานจำนวนกว่าหลายร้อยคน ช่วงหนึ่งระบุว่า.. น้องทั้งหลาย ที่ผมเงียบๆไปเนี่ย ไม่ใช่กลัวใคร ความกลัวทำให้เสื่อม ขอให้คสช.ปลดล็อก แน่จริงปลดล็อก อย่าไปนึกว่าผมกลัว ไม่มีกลัว ปลดล็อกเมื่อไหร่ มึงอยู่ กูไป มึงไป กูอยู่ แต่พวกผมต้องอยู่ เพราะผมนามสกุลอยู่บำรุง การเมืองไม่ใช่เรื่องใครกลัวใคร การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน
"นี่ผมพูดเป็นความลับต่อหน้าคนหลายร้อยคนอย่าไปบอกใครนะ รอบหน้าเพื่อไทยชนะถล่มทลาย ไอ้สามมิตร …ทำเป็นกูรูทางเศรษฐกิจ เอ็งรอเวลาไอ้เหลิมพูดบ้าง กูจะได้บอกท่านประยุทธ์ว่า มึงมาเล่นการเมืองเพราะอะไร ผมขอบอกกับท่านทั้งหลายด้วยหัวใจมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว เอ็งจับเมื่อไหร่กูยอมไปติดคุก มึงปล่อยเมื่อไหร่ก็กลับบ้านกู อวยพรขอให้ลูกวันโชคดี เรื่องที่ผ่านมาให้พ้นไป ขอให้เกิดเรื่องดีๆ ขอให้รักแม่มากๆ ไม่ขอตังแม่บ่อยๆ สุขสดชื่นสมหวังจงเป็นของวัน อยู่บำรุง"
ดังนั้นจะได้ย้อนกลับไปดู “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” เมื่อตอนที่คสช. ยึดอำนาจใหม่ มีพฤติกรรมอย่าไร..?
เชื่อว่าหลายคนยังไม่ลืม เมื่อ13ต.ค.2557 ร.ต.อ.เฉลิม เอ่ยปากเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยกล่าวว่า เป็นคนที่ฉลาด เก่ง มีกุนซือดี ถ้าสามารถแก้เศรษฐกิจได้ตนเชื่อว่าประชาชนจะพอใจ รัฐบาลก็จะอยู่ได้นาน ตนคิดว่าในวันนี้ประชาชนเบื่อการเมืองและนักการเมืองมากแล้ว
มาถึงวันนี้ ดูแล้วว่าคำประกาศของร.ต.อ.เฉลิม ที่ว่าท้าทายคสช. แน่จริงปลดล็อกการเมือง ต่อสู้ทางการเมืองต่างๆนาๆ และด้วยความคิดที่มั่นใจและเชื่อนายทักษิณ ชินวัตรว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง แบบแลนด์สไลด์จริงๆ ซึ่งหากวิเคราะห์จากข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
และหากมาพิจารณาข้อเท็จจริงทางการเมืองแล้ว ในการเลือกตั้งครั้งที่จะเกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้เลยด้วยกลไกตามรัฐธรรมนูญและวิธีการเลือกตั้ง ที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาล เป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเงื่อนไงแรกจากสมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงที่จะถ่วงดุลในการที่จะโหวตให้ผู้ใดเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้ง250คน เป็นผู้ที่ทางคสช.คัดเลือกมา ซึ่งคาดว่าน่าจะโหวตให้กับผู้ที่คสช.ให้การสนับสนุน
และ2 จะต้องไม่ลืมระบอบการเลือกตั้งในครั้งใหม่นี้ ใช้วิธีคิดคะแนนแบบสัดส่วนผสม ที่ถูกคะแนนเสียงมีคุณค่า มีความหมาย เมื่อลงคะแนนแล้วไม่สูญเปล่าเหมือนที่ผ่านมา เพราะนำมารวบรวมในการคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ทั้งฝ่ายชนะ และฝ่ายที่แพ้
โดยนำมาหารกับจำนวน ส.ส.ทั้งหมด คือ 500 คน เพื่อหาอัตราส่วนคะแนนว่า ส.ส.1 คน ควรจะได้คะแนนเท่าไร แล้วจึงนำตัวเลขที่ได้ไปคำนวณจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่แต่ละพรรคจะได้รับอีกที ดังนั้นเมื่อคะแนนทุกคะแนนมีความหมายก็จะทำให้จำนวนส.ส.ของพรรคใหญ่ๆจะถูกกระจายไปยังพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก ตามกลไกในการเลือกตั้งระบบสัดส่วนผสม ซึ่งถือเป็นระบบที่เคารพเสียงประชาชนทุกคน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องจับตาดูว่าหลังจากที่มีการปลดล็อคทางการเมืองแล้วบทาทของร.ต.อ.เฉลิม จะเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ๆ เฉลิมอยู่บำรุงต้องแสดงบทบาทอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน เผื่อที่จะได้ยกระดับการมีบทบาทในพรรคเพื่อไทยในยามที่กำลังเกิดความระส่ำระสายแตกแยก จนเกิดช่องว่าง และที่สำคัญถึงเวลานี้ก็หน้าที่จะบรรลุเป้าหมายของตัวร.ต.อ.เฉลิมแล้วที่จะกำจัดคู่แข่ง “คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ออกนอกเส้นทางการเป็นหัวหน้าพรรค หรือผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ตัวแทนพรรคเพื่อไทย เพราะว่าทั้งคู่นั้นเป็นคู่แข่งกัน ทางด้านบารมีกันโดยตลอด มีจะอยู่ในมุ้งเดียวกันก็ตาม โดยร.ต.อ.เฉลิมยึดหลักทางด้านฝั่งธนฯ ส่วนคุณหญิง สุดารัตน์ เจ้าของพื้นที่ในกทม. ดังนั้นก็ต้องติดตามต่อไปกับบทบาทของร.ต.อ.เฉลิม ในวัย71ปี