ลากไส้ CSI LA เมื่อผู้ผดุงความยุติธรรม โดนหมายจับเสียเอง

ท่ามกลางสภาพสังคมไทยที่ดูเหมือนจะเสื่อมโทรมลงทุกขณะ สวนทางกับความเจริญทางด้านวัตถุ ทั้งปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นไม่ว่างเว้นแต่ละวัน ความอยุติธรรมมีให้พบเห็นได้ทั่วไปจนกลายเป็นความชาชิน

ลากไส้ CSI LA เมื่อผู้ผดุงความยุติธรรม โดนหมายจับเสียเอง

 

    ท่ามกลางสภาพสังคมไทยที่ดูเหมือนจะเสื่อมโทรมลงทุกขณะ สวนทางกับความเจริญทางด้านวัตถุ ทั้งปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นไม่ว่างเว้นแต่ละวัน ความอยุติธรรมมีให้พบเห็นได้ทั่วไปจนกลายเป็นความชาชิน บางคดีที่เกิดขึ้นแทบไม่เหลือความหวังที่จะได้เห็นคนร้ายที่กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามครรลอง จากอำนาจบางอย่างที่คอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง ด้วยเหตุนี้ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่ออำนาจตุลาการจึงถูกทำลายลงจนแทบไม่เหลือชิ้นดี 

 

    ในยามที่สังคมปกคลุมไปด้วยความสิ้นหวัง ได้มีเพจต่างๆ ถือตัวเป็นวีรบุรุษกำเนิดขึ้น ราวกับจะเป็นผู้กอบกู้เรียกความยุติธรรมให้ กลับคืนมาในสังคม ในรูปแบบของการสวมบทบาทนักสืบบนโลกออนไลน์ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย หากแต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่เพราะในวันนี้เรื่องราวทั้งหมดได้กลับตาลปัตร เมื่อผู้ผดุงความยุติธรรมกลับกลายเป็นฝ่ายถูกอนุมัติหมายจับเสียเอง

 

    ในเวลานี้หากเอ่ยชื่อ เพจ "CSI LA" บนเฟซบุ๊ก คงน้อยคนนักที่ไม่รู้จัก จากคดีฆ่าสองนักท่องเที่ยวอังกฤษที่เกาะเต่า ที่สังคมต่างจับตามองการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าจะสามารถจับผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการทางกฏหมายได้หรือไม่ และด้วยทิศทางของเพจที่ดูจะเป็นการสวนกระแสหลัก จากความไม่เชื่อมั่นต่อระบบยุติธรรมไทย การเคลื่อนไหวของเพจจึงดูจะเป็นการสวมบทนักสืบ เพื่อพยายามหาหลักฐานสร้างข้อขัดแย้งกับการทำงานของรัฐบาล จนนำไปสู่รูปคดีที่ปั่นป่วนและความเห็นของสังคมที่แตกออกเป็นสองด้าน ด้วยความสับสนว่าแท้จริงแล้วฝ่ายรัฐบาลหรือ เพจ CSI LA กันแน่ที่น่าเชื่อถือกว่ากัน หลายคนลืมคิดไปว่า ทางเพจ CSI LA ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือมีความรู้ด้านอาชญาวิทยาแต่อย่างใด การตั้งสมมุติฐานล้วนมาจากข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ตและการรับชมภาพวงจรปิด ที่ผู้ใช้อินเตอร์เนตสามารถเข้าถึงได้ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตเพื่อเติมว่า การสันนิษฐานของ  CSI LA  อาจเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่เขาได้รับชมสื่อบันเทิงแนวสืบสวนสอบสวนเพียงเท่านั้น

    ประเด็นปมดราม่าจากคดีดังกล่าว ที่ทางเพจ CSI LA ได้เรี่ยไรเงินบริจาคจากลูกเพจเพื่อสร้างหุ่นจำลอง นำมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงคดีเกาะเต่า ภายหลังคดีดังกล่าวเงียบหายไป แต่ทางเพจก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ่นจำลองแต่อย่างใด จนกลายเป็นข้อครหาว่าเพจมีการหลอกลวงเงินบริจาคหรือไม่ แต่ภายหลังได้ออกมาทำการชี้แจงคร่าวๆ ว่าจะนำเงินที่เหลือไปบริจาคให้แก่สภาทนายความแทน เรื่องก็เงียบหายไปในที่สุด

 

 

ลากไส้ CSI LA เมื่อผู้ผดุงความยุติธรรม โดนหมายจับเสียเอง

 

    ต่อมาได้มีเพจเฟสบุ๊กชื่อดัง ออกมาเปิดเผยตัวตนและประวัติผู้อยู่เบื้องหลังเพจ CSI LA ว่าแท้จริงแล้วนักสืบไซเบอร์ผู้นี้คือ นายประมุข อนันตศิลป์ วัย 38 ปี  เป็นชาวจังหวัดชลบุรีโดยกำเนิด จบ ม.3 ที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย และเดินทางไปศึกษาต่อที่ยูซีแอลเอ สาขาเศรษฐศาสตร์ หลังจากมีครอบครัว จึงมุ่งทำการค้าขาย จากงานดีไซน์โดยคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันมีอาชีพขายนำเข้าและส่งออกอัญมณี

 

    และมีผู้กล่าวถึงปูมหลังของนายประมุข เพิ่มเติมอีกว่า แท้จริงแล้วนายประมุข มีความฝังใจและเกลียดชังตำรวจ จึงพยายามตั้งประเด็นกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำวจว่าจับแพะในคดีเกาะเต่า ผสมผสานกับจินตนาการของตนเอง จนกลายเป็นนิยายลวงโลกในเวลาต่อมา

 

 

ลากไส้ CSI LA เมื่อผู้ผดุงความยุติธรรม โดนหมายจับเสียเอง

 

    เป็นเหตุให้นายประมุข แทบจะนั่งไม่ติดจนต้องออกมาชี้แจ้งด้วยตัวเองว่า เขานั้นไม่ใช่นักสืบ เป็นเพียงพ่อค้าอัญมณี พร้อมกับกล่าวว่ามีคนพยายามเอาข้อมูลของตนมาเผยแพร่แบบผิดๆ พร้อมบิดเบือน นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า นายประมุขเคยเป็น สมาชิกสโมสรโรตารีในสหรัฐอเมริกา และเคยใช้เครดิตการเป็นประธานโรตารี มอนเทอเรย์พาร์ค แคลิฟอร์เนีย ในการเคลื่อนไหวฐานเสียงทางการเมืองอีกด้วย

 

    อย่างไรก็ตามยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตุเพิ่มเติมอีกว่า การเคลื่อนไหวของนายประมุข นั้นมีนัยยะแฝงทางการเมืองหรือไม่ เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยโดนกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวพันกับกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อแทรกแซงในคดีเกาะเต่า ด้วยการปลุกระดมชาวพม่าบางกลุ่มชูสามนิ้วประท้วงการตัดสินของศาล แต่นายประมุขก็ยืนกรานปฏิเสธมาตลอดว่า ตนนั้นไม่มีและไม่สังกัดพรรคใดๆ ทั้งสิ้น

    การเคลื่อนไหวของนายประมุข ผ่านเพจ CSI LA ไม่มีทีท่าว่าจะลดละง่ายๆ จวบจนกระทั่งเกิดกรณีนักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษอ้างว่าถูกข่มขืนบนเกาะเต่า แต่จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และประสานงานไปยังสถานทูตอังกฤษสามารถสรุปได้ว่าไม่มีการมอมยาและข่มขืน อีกทั้งสถานทูตอังกฤษเอง ยืนยันชัดว่า นักท่องเที่ยวสาวคนดังกล่าว ไม่เคยติดต่อมายังสถานทูตแต่อย่างใด

 

 

ลากไส้ CSI LA เมื่อผู้ผดุงความยุติธรรม โดนหมายจับเสียเอง

 

    ตรงข้ามกับเพจ CSI LA ที่พยายามนำเสนอสวนทางด้วยข้อมูลของตนเองว่าทางรัฐบาลไทยพยายามปกปิด เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดการตั้งคำถาม เป็นการปิดหูปิดตาประชาชนทางหนึ่ง เป็นเหตุให้ นายไชยันต์ ธุระสกุล นายกเทศมนตรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน พร้อมนายสุนทร ศรีสังข์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเกาะเต่า นายกอบชัย เสาวลักษณ์ กำนัน ต.เกาะเต่า และผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 หมู่ 3 ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์เพื่อเอาผิด แอดมินเพจเฟซบุ๊ก CSI LA และล่าสุด พ.ต.อ.เชิดพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเกาะสมุยออกหมายจับ นายประมุข อนันตศิลป์ หรือนายเดวิด ผู้ก่อตั้งเพจ CSI LA  ในฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ฯลฯ ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับทั้งเจ้าของเพจ นายประมุข อนันตศิลป์ และลูกเพจทั้ง 13 คน ที่ได้ทำการแชร์โพสบนเฟสบุ๊ก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

 

 

ลากไส้ CSI LA เมื่อผู้ผดุงความยุติธรรม โดนหมายจับเสียเอง

 

    อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ดูท่าจะไม่สิ้นสุดลงโดยง่ายเพราะทางเพจ CSI LA ได้โพสต์ให้คำแนะนำลูกเพจที่โดนหมายจับในข้อหาแชร์ข้อมูลว่า ยังไม่ต้องให้การใดๆ ทั้งสิ้น ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของทนาย พร้อมกับยืนยันว่าการสู้คดีนี้ยังไงก็ชนะ บทสรุปของคดีนี้จะเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด

 

 

ลากไส้ CSI LA เมื่อผู้ผดุงความยุติธรรม โดนหมายจับเสียเอง

 

    เรียกได้ว่าเป็นบทเรียนสำคัญที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตควรตระหนัก การเสพสื่อออนไลน์นั้นควรจะใช้วิจารณญาณให้มากทั้งการแชร์โพส หรือการแสดงความคิดเห็นบนสื่อโซเชียลมีเดีย มิเช่นนั้นแล้ววันใดวันหนึ่งอาจมีหมายจับรอคุณอยู่ที่บ้านเช่นเดียวกับกรณีนี้ก็เป็นได้