จาก "โจ้ จอยเก็บมะม่วง" ส่งไม้ต่อถึง "แก้วตาขายข้าวสาร" กับโจทย์ปัญหาคณิตฯ คิดย้อนอดีตถึงปัจจุบัน

 เรื่องเก่ายังไม่ทันหายเรื่องใหม่ก็ตามเข้ามากับโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ การบ้านเด็ก ป. 1 กลับกลายมาเป็นเรื่องให้ผู้ใหญ่ในสังคมถกเถียงกันอีกครั้งถึงมาตรฐานครูไทย และ การออกโจทย์ ที่ดูเหมือนกำกวมยากต่อความสามารถเด็ก ป.1 ไปหรือไม่ เมื่อล่าสุด คุณแม่ท่านหนึ่งได้เข้าไปสอบถามโจทย์ปัญหา

 

     เรื่องเก่ายังไม่ทันหายเรื่องใหม่ก็ตามเข้ามากับโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ การบ้านเด็ก ป. 1 กลับกลายมาเป็นเรื่องให้ผู้ใหญ่ในสังคมถกเถียงกันอีกครั้งถึงมาตรฐานครูไทย และ การออกโจทย์ ที่ดูเหมือนกำกวมยากต่อความสามารถเด็ก ป.1 ไปหรือไม่ เมื่อล่าสุด คุณแม่ท่านหนึ่งได้เข้าไปสอบถามโจทย์ปัญหา "แก้วตาขายข้าวสาร 2 วัน วันจันทร์ และวันอังคาร รวมกันได้ 10 กิโลกรัม วันจันทร์ขายข้าวสารได้มากกว่าวันอังคาร 2 กิโลกรัม วันจันทร์แก้วตาขายข้าวสารได้กี่กิโลกรัม และวันอังคารขายข้าวสารได้กี่กิโลกรัม" 

 

จาก "โจ้ จอยเก็บมะม่วง" ส่งไม้ต่อถึง "แก้วตาขายข้าวสาร" กับโจทย์ปัญหาคณิตฯ คิดย้อนอดีตถึงปัจจุบัน

 

    นี่เป็นโจทย์ปัญหาของเด็ก ป.1 ที่เพจเฟซบุ๊ก Education Facet สาระเรื่องเรียน และพัฒนาการของลูก ได้นำมาลงไว้และระบุว่าควรจะสอนลูกน้อยเช่นไร โดยทางเพจได้อธิบายถึงปัญหาของคุณแม่รายนี้พบเจอว่า การหาคำตอบที่ถูกนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหามันติดอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้เด็กเข้าใจ สามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง เพราะด้วยโจทย์คณิตศาสตร์ ข้อนี้มีความยาก ตัวเด็กเองอาจมีความสับสน มักจะแบ่งครึ่ง 10 ก่อนเสมอ โดยจะได้ 5 และ 5  จากนั้นก็จะเอา 2 ไปบวกกับ 5 ได้เท่ากับ 7 เพราะเห็น Keyword ว่า "วันจันทร์ขายข้าวสารได้มากกว่าวันอังคาร 2 กิโลกรัม" จึงตอบว่าวันจันทร์ขายข้าวสารได้ 7 กิโลกรัม จากนั้น ก็เอา 10 - 7 = 3 จึงตอบว่าวันอังคารขายข้าวสารได้ 3 กิโลกรัม  เด็กที่ตอบแบบนี้ เวลาที่คุณพ่อคุณแม่ถามให้ฉุกคิดว่า แล้วทำไม 7 - 3 จึงได้เท่ากับ 4 ล่ะ ดังนั้น 7 และ 3 จึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องแน่ๆ เด็กจะเริ่มงงครับ  เด็กก็จะถามต่อว่า "แล้วข้อนี้ต้องทำอย่างไร"

 

     คุณครู หรือคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน มักจะสอนเด็กว่า วันจันทร์ต้องขายได้เท่ากับ 5 + 1 = 6 กิโลกรัม ส่วนวันอังคารจะขายได้เท่ากับ 5 - 1 = 4 กิโลกรัม ต้องเอาส่วนต่าง 2 กิโลกรัม มาแยกแล้วบวกกับ 5 ก็จะได้คำตอบของวันจันทร์ 1 และเอา 1 อีกตัวมาลบออกจาก 5 เพื่อให้ "ไปกลับมีผลต่างเท่ากับ 2" จะได้คำตอบของวันอังคาร ดังนั้นจึงได้คำตอบวันจันทร์ขายได้ 6กิโลกรัม วันอังคารขายได้ 4 กิโลกรัม  โดยโจทย์ข้อนี้มีผู้ปกครองบางคนต้องนำการคิดแบบสมการเข้ามาช่วยจึงจะได้คำตอบที่ถูกต้อง จากนั้นก็มีการตั้งคำถามว่านี้หรือคือโจทย์ปัญหาของเด็ก ป. 1 เพจเฟซบุ๊ก Education Facet สาระเรื่องเรียนและพัฒนาการของลูกจึงได้แนะแนวคิดให้กับคุณแม่ท่านนี้โดยใช้วิธีคิด Bar Model 
(การเขียนรูป) ของประเทศสิงคโปร์ มาใช้ในการอธิบาย ซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจ และนึกภาพตามได้

 

จาก "โจ้ จอยเก็บมะม่วง" ส่งไม้ต่อถึง "แก้วตาขายข้าวสาร" กับโจทย์ปัญหาคณิตฯ คิดย้อนอดีตถึงปัจจุบัน

 

       ทั้งนี้จากโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์แก้วตา เป็นที่น่าสังเกตว่าการตรวจคำตอบของคุณครูบางท่านยังมีการเฉลยผิดอยู่ วันจันทร์ขายได้ 7 กิโลกรัม วันอังคารขายได้ 3 กิโลกรัมอยู่เหมือนกัน แทนที่คำตอบจะได้ วันจันทร์ขายได้ 6 กิโลกรัม วันอังคารขายได้ 4 กิโลกรัม และหลายโรงเรียนแม้ว่าจะเฉลยได้อย่างถูกต้องว่าวันจันทร์ขายได้ 6 กิโลกรัม และวันอังคารขายได้ 4 กิโลกรัม แต่ก็ไม่มีวิธีในการอธิบายให้เด็กเข้าใจชัดเจน หลายโรงเรียนเฉลยเป็นตัวเลขให้กับนักเรียนเฉยๆ

   จากกรณีของคุณแม่ท่านนี้ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้นำโจทย์คณิตศาสตร์เจ้าปัญหาก่อนหน้านี้มาเป็นตัวอย่างกับโจทย์แก้วตาระบุว่า โจทย์แก้วตาข้อนี้เป็นคู่แข่งของข้อมะม่วงจอยกับโจ้ได้เลย แต่หนักกว่า ที่หนักกว่าเพราะว่า เด็กคนนี้แสดงให้เห็นในสมุดว่า 
1. มีวิธีคิดบ้างนิดหน่อย ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าครูน่าจะบอกให้จดตามครู    
2. ได้คำตอบแล้ว แต่ยังไม่สมเหตุสมผลตามที่โจทย์กำหนดไว้ให้ครบทุกข้อ โจทย์ข้อนี้เป็นโจทย์เปิด ให้เด็กหาวิธีคิด 
แถมในโจทย์มีรูปครูยืนบอกว่า ใครมีวิธีคิดมากกว่า 1 ถือว่าเก่งมาก ก่อนอื่นควรให้เด็กวิเคราะห์โจทย์ก่อนแล้วดูว่าเด็กมีแนววิธีคิดแรกคืออะไร แล้วสุดท้ายต้องไม่ลืมตรวจสอบความสมเหตุสมผล 

 

 

จาก "โจ้ จอยเก็บมะม่วง" ส่งไม้ต่อถึง "แก้วตาขายข้าวสาร" กับโจทย์ปัญหาคณิตฯ คิดย้อนอดีตถึงปัจจุบัน

 

   

 

จาก "โจ้ จอยเก็บมะม่วง" ส่งไม้ต่อถึง "แก้วตาขายข้าวสาร" กับโจทย์ปัญหาคณิตฯ คิดย้อนอดีตถึงปัจจุบัน

 

 

จาก "โจ้ จอยเก็บมะม่วง" ส่งไม้ต่อถึง "แก้วตาขายข้าวสาร" กับโจทย์ปัญหาคณิตฯ คิดย้อนอดีตถึงปัจจุบัน

 

จาก "โจ้ จอยเก็บมะม่วง" ส่งไม้ต่อถึง "แก้วตาขายข้าวสาร" กับโจทย์ปัญหาคณิตฯ คิดย้อนอดีตถึงปัจจุบัน

 

      หากย้อนหลังไปเมื่อ 2 ตุลาคม 2556 พบว่าเคยเกิดกรณีตรวจการบ้านของครูท่านหนึ่งเป็นที่สงสัยของผู้ปกครอง จนต้องนำรูปการบ้านของหลานเธอออกมาโพสต์ถามชาวโซเชียล ด้านผู้ปกครองรายนี้ก็ไม่นิ่งนอนใจได้เข้าไปสอบถามครูท่านนี้ถึงโรงเรียนว่าเหตุใดคำตอบถูกแต่ครูเฉลยให้ผิด โดยผู้ปกครองได้คำชี้แจงจากครูท่านนี้ว่า ถึงแม้คำตอบจะถูกแต่หากนิยามผิดก็ไม่สามารถตรวจให้ถูกได้เนื่องจากนิยามไม่เหมือนเด็กนักเรียนคนอื่นในห้อง ซึ่งโจทย์คำถามให้มาว่า...

 

 

จาก "โจ้ จอยเก็บมะม่วง" ส่งไม้ต่อถึง "แก้วตาขายข้าวสาร" กับโจทย์ปัญหาคณิตฯ คิดย้อนอดีตถึงปัจจุบัน

 

จงเขียนให้อยู่ในรูปการคูณหรือบวก
4+4+4 =?
หลานตอบ 4x3 ครูให้ผิด เพราะต้องเป็น 3 x 4
3 x 4 = ?
หลานตอบ 3+3+3+3 ครูให้ผิด เพราะต้องเป็น 4+4+4 จนผู้ปกครองท่านนี้อึ้งกับคำตอบที่ได้ หลังจากโพสต์นี้ออกไปได้มีชาวโซเชียลจำนวนมากออกมาถกเถียงกันว่าครูปิดกั้นความคิดเด็กนักเรียนเกินไปหรือไม่ทั้งที่วิชาคณิตสตร์มีวิธีคิดเปิดกว้างหลายรูปแบบเพียงแค่หาคำตอบให้ถูกต้องเพียงเท่านั้น 

 

 

จาก "โจ้ จอยเก็บมะม่วง" ส่งไม้ต่อถึง "แก้วตาขายข้าวสาร" กับโจทย์ปัญหาคณิตฯ คิดย้อนอดีตถึงปัจจุบัน


      ยังมีกรณีโด่งดังในโลกโซเชียลอีก เมื่อ 14 มี.ค. 2561 มีผู้ปกครองท่านหนึ่งออกมาตั้งกระทู้ถามในเว็บไซต์พันทิป ถึงวิธีตรวจเฉลยการบ้านวิชาภาษาไทย ว่าเหตุใดลูกเธอจึงเขียนคำว่า "เกียจ" ผิด ทั้งที่ประโยคเต็มคือการขี้เกียจ ของนกเค้าแมวไม่ดี รูปประโยคชี้ไปที่ การเกียจคร้าน ไม่ใช่การเกลียดชัง ถึงจะต้องใช้คำว่า "เกลียด" ที่ครูรายนี้เฉลยให้เด็ก ทั้งยังพบว่าครูคณิตศาสตร์ที่ไม่ได้ประจำห้องของลูกเธอ แต่เข้ามาสอนแทนให้โจทย์ เด็กป.3 ทำ พอเฉลยออกมา คำตอบของครูไม่ตรงกับเด็กๆ ทั้งห้อง ครูต้องเอาเครื่องคิดเลขออกมากด ถึงได้คำตอบเหมือนเด็กๆ จากกรณีของคุณแม่รายนี้กลายเป็นเรื่องวิพากษ์ วิจารณ์กันอย่างมากพร้อมกระทู้พันทิปนี้ถูกแชร์อย่างรวดเร็ว

 

จาก "โจ้ จอยเก็บมะม่วง" ส่งไม้ต่อถึง "แก้วตาขายข้าวสาร" กับโจทย์ปัญหาคณิตฯ คิดย้อนอดีตถึงปัจจุบัน

 

    และกรณีอันโด่งดังจนโลกโซเชียลแชร์สนั่นกับโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โจ้ จอย เก็บมะม่วง เมื่อ 18 ก.ย. 2561 หลังผู้ปกครองรายหนึ่งออกมาโพสต์คำตอบของหลานเธอลงเฟซบุ๊กด้วยความสงสัยว่าเหตุใดคำตอบที่เธอสอนหลานถึงผิด หลังจากนั้นก็เกิดเป็นประเด็นดังชั่วพริบตากับกรณีของผลตรวจการบ้านเด็กรายนี้ หลังจากนั้น ผอ. โรงเรียนได้ออกมายอมรับผิดและขอโทษเนื่องจากครูผู้สอนเพิ่งบรรจุได้ 6 เดือน ทั้งยังรีบเร่งในการตรวจการบ้านเด็กให้เสร็จจึงทำเฉลยผิด ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าหลานของผู้ปกครองรายนี้จะถูกตรวจผิดเพียงคนเดียวแต่ยังมีเพื่อนนักเรียนทั้งห้องถูกตรวจให้ผิดด้วย 

 

     นี่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นของการผิดพลาดในการตรวจการบ้านเด็กที่สังคมได้เห็นกัน จนเกิดคำถามตามมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับสถาบันการศึกษาผู้ผลิตบุคลากรครูออกมาสอนเด็กได้คุณภาพเท่าที่ควรเช่นครูรุ่นเก่าหรือไม่ และการตั้งโจทย์ปัญหาต่างๆ มีความกำกวม จนเด็กสับสน หรือวิธีคิดที่ปิดกั้นตัวเด็กชี้ให้เด็กเดินตามแนวเดียวกันทั้งที่คำตอบถูก นับเป็นเรื่องถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้นแก่วงการการศึกษาไทย ที่เราต้องติดตามต่อไป

 

ขอบคุณ Education Facet