- 23 ก.ย. 2561
เรื่องเก่ายังไม่ทันหายเรื่องใหม่ก็ตามเข้ามากับโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ การบ้านเด็ก ป. 1 กลับกลายมาเป็นเรื่องให้ผู้ใหญ่ในสังคมถกเถียงกันอีกครั้งถึงมาตรฐานครูไทย และ การออกโจทย์ ที่ดูเหมือนกำกวมยากต่อความสามารถเด็ก ป.1 ไปหรือไม่ เมื่อล่าสุด คุณแม่ท่านหนึ่งได้เข้าไปสอบถามโจทย์ปัญหา
เรื่องเก่ายังไม่ทันหายเรื่องใหม่ก็ตามเข้ามากับโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ การบ้านเด็ก ป. 1 กลับกลายมาเป็นเรื่องให้ผู้ใหญ่ในสังคมถกเถียงกันอีกครั้งถึงมาตรฐานครูไทย และ การออกโจทย์ ที่ดูเหมือนกำกวมยากต่อความสามารถเด็ก ป.1 ไปหรือไม่ เมื่อล่าสุด คุณแม่ท่านหนึ่งได้เข้าไปสอบถามโจทย์ปัญหา "แก้วตาขายข้าวสาร 2 วัน วันจันทร์ และวันอังคาร รวมกันได้ 10 กิโลกรัม วันจันทร์ขายข้าวสารได้มากกว่าวันอังคาร 2 กิโลกรัม วันจันทร์แก้วตาขายข้าวสารได้กี่กิโลกรัม และวันอังคารขายข้าวสารได้กี่กิโลกรัม"
นี่เป็นโจทย์ปัญหาของเด็ก ป.1 ที่เพจเฟซบุ๊ก Education Facet สาระเรื่องเรียน และพัฒนาการของลูก ได้นำมาลงไว้และระบุว่าควรจะสอนลูกน้อยเช่นไร โดยทางเพจได้อธิบายถึงปัญหาของคุณแม่รายนี้พบเจอว่า การหาคำตอบที่ถูกนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหามันติดอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้เด็กเข้าใจ สามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง เพราะด้วยโจทย์คณิตศาสตร์ ข้อนี้มีความยาก ตัวเด็กเองอาจมีความสับสน มักจะแบ่งครึ่ง 10 ก่อนเสมอ โดยจะได้ 5 และ 5 จากนั้นก็จะเอา 2 ไปบวกกับ 5 ได้เท่ากับ 7 เพราะเห็น Keyword ว่า "วันจันทร์ขายข้าวสารได้มากกว่าวันอังคาร 2 กิโลกรัม" จึงตอบว่าวันจันทร์ขายข้าวสารได้ 7 กิโลกรัม จากนั้น ก็เอา 10 - 7 = 3 จึงตอบว่าวันอังคารขายข้าวสารได้ 3 กิโลกรัม เด็กที่ตอบแบบนี้ เวลาที่คุณพ่อคุณแม่ถามให้ฉุกคิดว่า แล้วทำไม 7 - 3 จึงได้เท่ากับ 4 ล่ะ ดังนั้น 7 และ 3 จึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องแน่ๆ เด็กจะเริ่มงงครับ เด็กก็จะถามต่อว่า "แล้วข้อนี้ต้องทำอย่างไร"
คุณครู หรือคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน มักจะสอนเด็กว่า วันจันทร์ต้องขายได้เท่ากับ 5 + 1 = 6 กิโลกรัม ส่วนวันอังคารจะขายได้เท่ากับ 5 - 1 = 4 กิโลกรัม ต้องเอาส่วนต่าง 2 กิโลกรัม มาแยกแล้วบวกกับ 5 ก็จะได้คำตอบของวันจันทร์ 1 และเอา 1 อีกตัวมาลบออกจาก 5 เพื่อให้ "ไปกลับมีผลต่างเท่ากับ 2" จะได้คำตอบของวันอังคาร ดังนั้นจึงได้คำตอบวันจันทร์ขายได้ 6กิโลกรัม วันอังคารขายได้ 4 กิโลกรัม โดยโจทย์ข้อนี้มีผู้ปกครองบางคนต้องนำการคิดแบบสมการเข้ามาช่วยจึงจะได้คำตอบที่ถูกต้อง จากนั้นก็มีการตั้งคำถามว่านี้หรือคือโจทย์ปัญหาของเด็ก ป. 1 เพจเฟซบุ๊ก Education Facet สาระเรื่องเรียนและพัฒนาการของลูกจึงได้แนะแนวคิดให้กับคุณแม่ท่านนี้โดยใช้วิธีคิด Bar Model
(การเขียนรูป) ของประเทศสิงคโปร์ มาใช้ในการอธิบาย ซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจ และนึกภาพตามได้
ทั้งนี้จากโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์แก้วตา เป็นที่น่าสังเกตว่าการตรวจคำตอบของคุณครูบางท่านยังมีการเฉลยผิดอยู่ วันจันทร์ขายได้ 7 กิโลกรัม วันอังคารขายได้ 3 กิโลกรัมอยู่เหมือนกัน แทนที่คำตอบจะได้ วันจันทร์ขายได้ 6 กิโลกรัม วันอังคารขายได้ 4 กิโลกรัม และหลายโรงเรียนแม้ว่าจะเฉลยได้อย่างถูกต้องว่าวันจันทร์ขายได้ 6 กิโลกรัม และวันอังคารขายได้ 4 กิโลกรัม แต่ก็ไม่มีวิธีในการอธิบายให้เด็กเข้าใจชัดเจน หลายโรงเรียนเฉลยเป็นตัวเลขให้กับนักเรียนเฉยๆ
จากกรณีของคุณแม่ท่านนี้ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้นำโจทย์คณิตศาสตร์เจ้าปัญหาก่อนหน้านี้มาเป็นตัวอย่างกับโจทย์แก้วตาระบุว่า โจทย์แก้วตาข้อนี้เป็นคู่แข่งของข้อมะม่วงจอยกับโจ้ได้เลย แต่หนักกว่า ที่หนักกว่าเพราะว่า เด็กคนนี้แสดงให้เห็นในสมุดว่า
1. มีวิธีคิดบ้างนิดหน่อย ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าครูน่าจะบอกให้จดตามครู
2. ได้คำตอบแล้ว แต่ยังไม่สมเหตุสมผลตามที่โจทย์กำหนดไว้ให้ครบทุกข้อ โจทย์ข้อนี้เป็นโจทย์เปิด ให้เด็กหาวิธีคิด
แถมในโจทย์มีรูปครูยืนบอกว่า ใครมีวิธีคิดมากกว่า 1 ถือว่าเก่งมาก ก่อนอื่นควรให้เด็กวิเคราะห์โจทย์ก่อนแล้วดูว่าเด็กมีแนววิธีคิดแรกคืออะไร แล้วสุดท้ายต้องไม่ลืมตรวจสอบความสมเหตุสมผล
หากย้อนหลังไปเมื่อ 2 ตุลาคม 2556 พบว่าเคยเกิดกรณีตรวจการบ้านของครูท่านหนึ่งเป็นที่สงสัยของผู้ปกครอง จนต้องนำรูปการบ้านของหลานเธอออกมาโพสต์ถามชาวโซเชียล ด้านผู้ปกครองรายนี้ก็ไม่นิ่งนอนใจได้เข้าไปสอบถามครูท่านนี้ถึงโรงเรียนว่าเหตุใดคำตอบถูกแต่ครูเฉลยให้ผิด โดยผู้ปกครองได้คำชี้แจงจากครูท่านนี้ว่า ถึงแม้คำตอบจะถูกแต่หากนิยามผิดก็ไม่สามารถตรวจให้ถูกได้เนื่องจากนิยามไม่เหมือนเด็กนักเรียนคนอื่นในห้อง ซึ่งโจทย์คำถามให้มาว่า...
จงเขียนให้อยู่ในรูปการคูณหรือบวก
4+4+4 =?
หลานตอบ 4x3 ครูให้ผิด เพราะต้องเป็น 3 x 4
3 x 4 = ?
หลานตอบ 3+3+3+3 ครูให้ผิด เพราะต้องเป็น 4+4+4 จนผู้ปกครองท่านนี้อึ้งกับคำตอบที่ได้ หลังจากโพสต์นี้ออกไปได้มีชาวโซเชียลจำนวนมากออกมาถกเถียงกันว่าครูปิดกั้นความคิดเด็กนักเรียนเกินไปหรือไม่ทั้งที่วิชาคณิตสตร์มีวิธีคิดเปิดกว้างหลายรูปแบบเพียงแค่หาคำตอบให้ถูกต้องเพียงเท่านั้น
ยังมีกรณีโด่งดังในโลกโซเชียลอีก เมื่อ 14 มี.ค. 2561 มีผู้ปกครองท่านหนึ่งออกมาตั้งกระทู้ถามในเว็บไซต์พันทิป ถึงวิธีตรวจเฉลยการบ้านวิชาภาษาไทย ว่าเหตุใดลูกเธอจึงเขียนคำว่า "เกียจ" ผิด ทั้งที่ประโยคเต็มคือการขี้เกียจ ของนกเค้าแมวไม่ดี รูปประโยคชี้ไปที่ การเกียจคร้าน ไม่ใช่การเกลียดชัง ถึงจะต้องใช้คำว่า "เกลียด" ที่ครูรายนี้เฉลยให้เด็ก ทั้งยังพบว่าครูคณิตศาสตร์ที่ไม่ได้ประจำห้องของลูกเธอ แต่เข้ามาสอนแทนให้โจทย์ เด็กป.3 ทำ พอเฉลยออกมา คำตอบของครูไม่ตรงกับเด็กๆ ทั้งห้อง ครูต้องเอาเครื่องคิดเลขออกมากด ถึงได้คำตอบเหมือนเด็กๆ จากกรณีของคุณแม่รายนี้กลายเป็นเรื่องวิพากษ์ วิจารณ์กันอย่างมากพร้อมกระทู้พันทิปนี้ถูกแชร์อย่างรวดเร็ว
และกรณีอันโด่งดังจนโลกโซเชียลแชร์สนั่นกับโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โจ้ จอย เก็บมะม่วง เมื่อ 18 ก.ย. 2561 หลังผู้ปกครองรายหนึ่งออกมาโพสต์คำตอบของหลานเธอลงเฟซบุ๊กด้วยความสงสัยว่าเหตุใดคำตอบที่เธอสอนหลานถึงผิด หลังจากนั้นก็เกิดเป็นประเด็นดังชั่วพริบตากับกรณีของผลตรวจการบ้านเด็กรายนี้ หลังจากนั้น ผอ. โรงเรียนได้ออกมายอมรับผิดและขอโทษเนื่องจากครูผู้สอนเพิ่งบรรจุได้ 6 เดือน ทั้งยังรีบเร่งในการตรวจการบ้านเด็กให้เสร็จจึงทำเฉลยผิด ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าหลานของผู้ปกครองรายนี้จะถูกตรวจผิดเพียงคนเดียวแต่ยังมีเพื่อนนักเรียนทั้งห้องถูกตรวจให้ผิดด้วย
นี่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นของการผิดพลาดในการตรวจการบ้านเด็กที่สังคมได้เห็นกัน จนเกิดคำถามตามมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับสถาบันการศึกษาผู้ผลิตบุคลากรครูออกมาสอนเด็กได้คุณภาพเท่าที่ควรเช่นครูรุ่นเก่าหรือไม่ และการตั้งโจทย์ปัญหาต่างๆ มีความกำกวม จนเด็กสับสน หรือวิธีคิดที่ปิดกั้นตัวเด็กชี้ให้เด็กเดินตามแนวเดียวกันทั้งที่คำตอบถูก นับเป็นเรื่องถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้นแก่วงการการศึกษาไทย ที่เราต้องติดตามต่อไป
ขอบคุณ Education Facet