- 24 ก.ย. 2561
24 ก.ย. 2533 ไฟมฤตยูพัดโหมกระหน่ำ ปรากฏทะเลเพลิงกลางกรุง เสียงกรีดร้องอื้ออึงทะลุโสตไปทั่วอาณาบริเวณ ความโกลาหลเข้าปกคลุมประหนึ่งกลียุค 80 ชีวาดับสูญ กว่า 24 ชีวิตทุกข์ทรมาน
24 ก.ย. 2533 ไฟมฤตยูพัดโหมกระหน่ำ ปรากฏทะเลเพลิงกลางกรุง เสียงกรีดร้องอื้ออึงทะลุโสตไปทั่วอาณาบริเวณ ความโกลาหลเข้าปกคลุมประหนึ่งกลียุค 80 ชีวาดับสูญ กว่า 24 ชีวิตทุกข์ทรมาน ไม่มีฝันร้ายครั้งใดที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนไทยเทียบเท่าโศกนาฏกรรม "รถแก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่" ที่ยังคงตามหลอกหลอนผู้อยู่ในเหตุการณ์ในทุกห้วงภวังค์อย่างไม่มีวันลืมเลือน
ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ สร้างเมื่อปี 2505 ทำพิธีเปิดโดยเป็นถนนต่อขยายจากถนนเพชรบุรีเดิม เริ่มจากแยกประตูน้ำและสิ้นสุดที่แยกคลองตัน หรือสุขุมวิท 71 เรียกได้ว่าเป็นถนนสายหลักอีกสายที่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาตลอด จวบจนกระทั่ง คืนวันจันทร์ที่ 24 ก.ย. 2533 ควรจะเป็นค่ำคืนปกติที่หลายชีวิตกำลังมุ่งหน้ากลับบ้านไปพบครอบครัวและคนรัก หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจประจำวัน ขณะที่รถจำนวนมาก กำลังจอดรอสัญญาณไฟจราจรบริเวณใต้ทางด่วนถนนเพชรบุรีตัดใหม่
โดยที่ไม่มีใครคาดคิด เวลาประมาณ 22.00 น. ได้มีรถบรรทุกแก๊ส LPG ขับโดยนายสุทัน ฝักแคเล็ก ตะบึงแล่นลงมาจากทางด่วนด้วยความเร็วสูงด้วยหวังจะข้ามให้พ้นจากสัญญาณไฟแดง ทว่ารถเกิดเสียหลักจนพลิกคว่ำและไหลไปกับพื้นด้วยแรงเสียดสีกับพื้นถนน พุ่งเข้าชนตึกแถวเยื้องกับทางลงทางด่วน ซึ่งเป็นหอพักสตรีหญิง ส่งผลให้ถังบรรจุแก๊สรูปแคปซูล 2 ถัง ถังละ 20,000 ลิตร หลุดออกจากตัวรถเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น หลังจากไอความร้อนได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นการเพิ่มแรงอัดของแก๊สภายในตัวถังปรากฏประกายไฟลุกวาบ กลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์พุ่งลามตามท้องถนนเผาไหม้อาคารบ้านเรือนแถบนั้นเป็นจุณ
ความสูงของทะเลเพลิงเทียบเท่าตึก 3 ชั้น เพียงพอที่จะทำให้ป้ายโฆษณา ตึกแถว อาคารพาณิชย์หอพักสตรี วอดวายพินาศสิ้น บ้านเรือนกว่า 30 คูหา ถูกไฟเผาไหม้จนราพณาสูร ส่วนรถที่จอดอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุจมอยู่ในเปลวเพลิง หลายชีวิตถูกไฟคลอกตายอย่างทรมาน ผู้คนจำนวนมากที่ยังอยู่ในรถต่างพยายามสตาร์ทรถเร่งเครื่องหนีแต่ไม่เป็นผล ออกมาวิ่งหนีตายกันอลหม่านแต่กลับถูกไฟคลอกในทันใดล้มลงดิ้นทุรนทุราย ปรากฏเป็นภาพที่อเนจอนาถยิ่ง
ไฟยังคงไหม้ต่อเนื่องนานนับชั่วโมงเจ้าหน้าที่จากหน่วยกู้ชีพ และตำรวจดับเพลิงพยายามฉีดน้ำสกัดกั้น พยายามควบคุมสถานการณ์อย่างสุดความสามารถ แต่เป็นเรื่องยากยิ่ง เพราะแก๊สได้ฟุ้งกระจายไปในอากาศ อีกทั้งการช่วยเหลือผู้ที่ถูกไฟคลอกนั้นกลายเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดและบาดแผลแก่ผู้บาดเจ็บเนื่องจากผิวของร่างกายลอกออกจากความร้อน มีทางเดียวที่จะช่วยได้คือการใช้ผ้าดิบคลุมร่างและนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ทว่าจากจุดเกิดเหตุนั้นห่างจากรถกู้ภัยประมาณ 200 เมตร
มีผู้บาดเจ็บจำนวนไม่น้อยที่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตก่อนที่จะถึงมือแพทย์ ในที่สุด เวลา 22.00 น. ในคืนวันอังคารที่ 25 ก.ย. เพลิงก็สงบลง ภายหลังเหตุการณ์สงบ ต่อมา วันที่ 24 ก.ย. 2537 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษา ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ว่า
"เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2533 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา นายสุทัน ฝักแคเล็ก ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกก๊าซคันเกิดเหตุลงจากทางด่วนมาที่ถนนเพชรบุรีด้วยความเร็วเพื่อเร่งให้พ้นสัญญาณ
ไฟจราจรที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสัญญาไฟแดง นายสุทันเลี้ยวรถไปทางด้านขวามุ่งหน้าจะไปสี่แยกมักกะสัน แต่รถยนต์บรรทุกก๊าซคันเกิดเหตุพลิกตะแคงครูดไปกับพื้นถนนจนถึงหน้าอาคารหอพักริมถนนเพชรบุรี ถังบรรจุก๊าซสองถังหลุดออกจากตัวรถ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอล.พี.จี.) ที่บรรทุกมารั่วแผ่กระจายเป็นบริเวณกว้าง แล้วระเบิดเกิดเพลิงลุกไหม้ นายสุทันถึงแก่ความตายในรถ เพลิงลุกลามไหม้บ้านเรือนในชุมชนแออัดซึ่งอยู่ด้านซ้ายของถนนเพชรบุรีเสียหาย ไหม้ตึกแถวด้านซ้ายและขวาของถนนเพชรบุรีจำนวน 51 ห้อง รถยนต์และรถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่ในถนนเพชรบุรีตั้งแต่แยกทางด่วนถึงแยกถนนวิทยุเสียหายประมาณ 67 คัน และจากเพลิงไหม้ดังกล่าวเป็นเหตุให้มีบุคคลถึงแก่ความตาย 80 คน ได้รับอันตรายสาหัส 24 คน ได้รับอันตรายแก่กาย 12 คน ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 214,926,282 บาท"
สืบทราบต่อมาภายหลังว่า รถบรรทุกแก๊สคันดังกล่าว ไม่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดไว้คือ ไม่มีข้อต่อระหว่างถังแก๊สกับตัวรถ ซึ่งข้อต่อดังกล่าวมีประโยชน์ในการยึดติดกับตัวรถ ไม่ให้เคลื่อนตัวหรือหล่นลงมาจนเกิดอันตราย นอกจากนี้ยังไม่มีสายรัดถังแก๊สเหมือนกับที่รถบรรทุกแก๊สทั่วๆ ไปใช้กัน
ประเทศไทยเริ่มมีการใช้แก๊ส LPG เป็นพลังงานทดแทน ตั้งแต่ปี 2513 โดยนิยมใช้ในกลุ่มรถยนต์สาธารณะขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันเริ่มมีการนำมาใช้กับรถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากน้ำมันมีราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจ ในปี 2553 พบว่า มีผู้ติดตั้งแก๊ส LPG ในรถยนต์จำนวน 660,000 คัน ต่อมาในปี 2557 พบว่าเพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว หรือกว่า 120,000 คัน โศกนาฏกรรมแห่งความสูญเสียในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงอุบัติเหตุจากความประมาท บทเรียนประการหนึ่งที่สำคัญคือการเคารพกฏจราจรขับรถอย่างมีสติเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเฉกเช่นในอดีต