- 02 ต.ค. 2561
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติโดยตรง เนื่องด้วยเสมือนมีปราการหน้าด่านคอยเป็นกันชนรายล้อมรอบอาณาบริเวณ
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติโดยตรง เนื่องด้วยเสมือนมีปราการหน้าด่านคอยเป็นกันชนรายล้อมรอบอาณาบริเวณ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจากอิทธิพลของลมมรสุมมักก่อให้เกิดความแปรปรวนทางสภาพอากาศ เช่น พายุฝนฟ้าคะนอง ถือว่าต้องระวังโรคภัยมากเป็นพิเศษ
เนื่องจากมีความเสี่ยงจากเชื้อโรคติดต่อหรือจากยุงที่เป็นพาหะนำโรค โดยมี 5 โรคที่ควรระวังได้แก่
1. โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่แพร่ระบาดในช่วงหน้าฝนมากที่สุด เพราะมีแหล่งน้ำขังที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายที่เป็นตัวพาหะนำโรคโดยตรง ดังนั้นในช่วงนี้จึงควรระวังการสะสมของแหล่งน้ำภายในบ้าน และควรกำจัดลูกน้ำยุงลายในบ้านให้หมด หากมีอาการผิดปกติทางกายภาพหรือแนวโน้มที่จะเป็นโรคไข้เลือดออก ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
2. โรคมาลาเรีย เป็นอีกโรคที่อันตรายถึงชีวิต และมียุงเป็นพาหะเช่นกันแต่จะเป็นยุงก้นปล่อง มักจะพบได้มากตามป่าเขา แม้ว่าโรคนี้จะไม่มีรายงานการติดต่อของโรคตั้งแต่ปี 1950 แต่มักระบาดในช่วงฤดูฝน และมีอาการรุนแรงกว่าไข้เลือดออกดังนั้นจึงควรป้องกันด้วยการหลีกเลี่ยงการเข้าป่าในช่วงนี้
3. โรคหวัด เป็นโรคทางเดินระบบหัวใจ ที่พบมากในช่วงสภาพอากาศแปรปรวนเนื่องจากร่างกายปรับสภาพไม่ทัน ที่ต้องระวังคือการแพร่เชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสจากผู้ป่วยคนอื่น ถือเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายจากการจามหรือหายใจรดคนอื่นก็เพียงพอที่แพร่เชื้อไวรัสดังกล่าว ดังนั้นจึงควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
4. โรคมือ เท้า ปาก ส่วนใหญ่มักพบมากในกลุ่มเด็กอายุ 10 ปี โดยโรคนี้จะติดต่อได้ง่ายผ่านทางน้ำลาย น้ำมูกหรือน้ำเหลืองจากแผล วิธีป้องกันควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอากาศเย็นจัดและมีความชื้น เพราะ เชื้อไวรัส "คอกซากีไวรัส" จะแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
5. โรคฉี่หนู ในพื้นที่น้ำท่วมขังต้องระวังให้มากเนื่องจากโรคนี้จะแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไตวาย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำด้วยเท้าเปล่า
อย่างไรก็ตามการดูแลสุขภาพตัวเองถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆ ในช่วงฤดูฝนหรือช่วงที่มีฝนตกชุก โดยมีข้อพึงปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน บริโภคอาหารให้มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำผักและผลไม้สดอย่างเป็นประจำ
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้วยังทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อฮอร์โมนความเครียดน้อยลง ภูมิคุ้มกันจะทำงานได้ดียิ่งขึ้นและห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ
3. ล้างมือให้บ่อยขึ้น การป้องกันโรคไข้หวัดวิธีที่ง่ายที่สุดเริ่มที่การล้างมือ เพราะมือเป็นอวัยวะที่ใช้หยิบจับสิ่งของ โดยอาจไปหยิบจับสิ่งของที่มีเชื้อโรคโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว ซึ่งถ้าหากเชื้อโรคเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย ย่อมส่งผลให้ร่างกายอ่อนและนำมาสู่โรคหวัดได้
4. นอนหลับอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง ในช่วงที่นอนหลับสนิทร่างกายจะทำการหลั่ง โกรทฮอร์โมน เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
5. รับประทานอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว ถือได้ว่าเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ให้ผลลัพธ์เชิงบวกแก่ร่างกาย นอกจากนี้โปรไบโอติกส์ยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่จะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ทางหนึ่งอีกด้วย
6. สวมถุงเท้าเป็นประจำ การสวมถุงเท้าจะช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ และเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย
7. รับประทานอาหารมื้อเช้าเป็นประจำ จากการวิจัยพบว่าภูมิคุ้มกันในร่างกายเกี่ยวพันกับอาหารเช้า ดังนั้นมื้อแรกของวันควรอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์
8. ทานโปรตีนให้มากขึ้น โปรตีนนอกจากเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกายแล้ว ยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
9. อยู่ให้ห่างไกลจากความเครียด เพราะถ้าหากสุขภาพจิตดี มีความร่าเริง แจ่มใส ร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุขชื่อ เอ็นดอร์ฟิน ที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีเรียกสารดังกล่าวคือทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ดูภาพยนต์
10. รับประทานกระเทียมและหัวหอมให้มากขึ้น กระเทียมมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคอย่างมีประสิทธิภาพ และหัวหอมมีสรรพคุณในการแก้หวัดคัดจมูก หากรับประทานเป็นประทำทุกวันจะสามารถช่วยป้องกันจากโรคไข้หวัดได้อีกด้วย
เหล่านี้เป็นเคล็ดลับที่จะเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ถือเป็นวิธีที่ทำได้โดยง่ายหากปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ ย่อมห่างไกลจากโรคที่มากับฤดูฝนได้อย่างแน่นอน