9 ปีที่รอคอย ศาลปราจีนฯพิพากษาจำคุก "พ.ต.ท." ซ้อมทรมานเด็กม.6 บังคับสารภาพวิ่งราวทรัพย์

9 ปีที่รอคอย ศาลปราจีนฯพิพากษาจำคุก "พ.ต.ท." ซ้อมทรมานเด็กม.6 บังคับสารภาพวิ่งราวทรัพย์

จากเหตุการณ์ที่มีการยื่นฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จังหวัดปราจีนบุรี ในกรณีที่ นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ในขณะนั้น) ได้ถูกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรุมซ้อมทรมานร่างกาย เพื่อให้รับสารภาพในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ ทั้งๆที่ตนเองนั้นไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 

 

 

 

9 ปีที่รอคอย ศาลปราจีนฯพิพากษาจำคุก "พ.ต.ท." ซ้อมทรมานเด็กม.6 บังคับสารภาพวิ่งราวทรัพย์

 

 

 

 

โดย นายฤทธิรงค์ อายุ 17 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองจังหวัดปราจีนบุรี จับกุมในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ แล้วส่งตัวนายฤทธิรงค์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนของตำรวจภูธรจังหวัดปราจีน นำไปควบคุมและได้ร่วมกันซ้อมทรมานให้รับสารภาพว่าเป็นคนวิ่งราวทรัพย์ทั้งๆ ที่นายฤทธิรงค์ไม่ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรีมีคำสั่งไม่ฟ้องนายฤทธิรงค์และคดีถึงที่สุด

 

 

 

9 ปีที่รอคอย ศาลปราจีนฯพิพากษาจำคุก "พ.ต.ท." ซ้อมทรมานเด็กม.6 บังคับสารภาพวิ่งราวทรัพย์

 

 

 

เนื่องจาก นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีเป็นจำเลย ว่าเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 ได้ร่วมกันซ้อมทรมานเพื่อให้ตนรับสารภาพในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ ซึ่งตนไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด นั้น บัดนี้ได้นำสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว

 

 

 

ล่าสุดวันนี้ (3 ต.ค. 61)  นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร  ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนาย ในสังกัดกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีพร้อมพวกเป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรี ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.925/2558. ว่า เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 จำเลยได้ร่วมกันซ้อมทรมานเพื่อให้ตนเองรับสารภาพในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด เหตุเกิดที่สถานีตำรวจภูธรเมืองปราจีนบุรีนั้นศาลปราจีนบุรีได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ก.ย.2561 ว่า พันตำรวจโทวชิรพันธ์ โพธิราช มีความผิดจริง ส่วนพันตำรวจโทปัญญา เรือนดี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง

 

 

 

 

จากพยานหลักฐานที่ได้จากการพิจารณา ศาลเชื่อว่า โจทก์ได้ถูก พันตำรวจโทวชิรพันธ์ จำเลย ทำร้ายเพื่อให้รับสารภาพจริง จึงมีความผิดตามประมวลอาญา มาตรา 157 มาตรา 200 มาตรา 295 มาตรา 309 มาตรา 301 มาตรา 391 และมาตรา 83 ให้ลงโทษฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 12,000 บาท แต่จำเลยที่ 3 ให้การเป็นประโยชน์ ศาลลดโทษกึ่งหนึ่งคือ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 1 ปี ปรับ 8,000 บาท ด้วยวิชาชีพของจำเลย และไม่ปรากฏว่าจำเลย เคยถูกลงโทษมาก่อน ให้รอลงอาญา 2 ปี

 

 

 

 

ส่วนพันตำรวจโทปัญญา ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าได้ทำร้ายโจทก์ เพียงแต่เปิดประตูแล้วถามว่า โจทก์รับสารภาพแล้วหรือยัง อีกทั้งโจทก์ไม่ได้เบิกความว่า ได้ร่วมทำร้ายโจทก์ แต่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่โจทก์ถูกซ้อมทรมาน แต่เนื่องจากขณะที่เปิดประตูและถามว่าโจทก์รับสารภาพหรือยังนั้น ไม่ได้เห็นแจ้งว่าพูดในขณะที่โจทก์ถูกคลุมถุงที่จะทราบได้ว่าผู้พูดเป็นใคร คำให้การโจทก์จึงไม่ยืนยันพฤติกรรมการกระทำความผิดของพันตำรวจโทปัญญา เป็นเหตุให้มีข้อสงสัย ศาลจึงยกประโยชน์ต่อความสงสัยนั้นและยกฟ้องจำเลยดังกล่าว

 

 

 

 

 

9 ปีที่รอคอย ศาลปราจีนฯพิพากษาจำคุก "พ.ต.ท." ซ้อมทรมานเด็กม.6 บังคับสารภาพวิ่งราวทรัพย์

 

 

 

ขณะที่ทางด้าน นายสมศักดิ์ ชื่นจิตร บิดาของนายฤทธิรงค์ ได้เปิดเผยภายหลังรับฟังคำพิพากษาว่า "เรารอคอยความยุติธรรมมา ตลอด 9 ปี หวังให้ความจริงปรากฏ ครอบครัวของเราต้องเป็นเหยื่อของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำร้ายร่างกายประชาชน ซ้อมทรมานให้รับสารภาพในความผิดอาญาที่เราไม่ได้เป็นผู้กระทำ สิ่งที่ลูกชายได้พูดมาตลอดระยะเวลา 9 ปี เป็นความจริง มิได้เป็นการใส่ร้ายกล่าวหาตำรวจ ชาวบ้านธรรมดาที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัวให้มีกินสุขสบายก็ยากลำบากแล้ว ใครจะไปกล้าให้ร้ายกล่าวหาตำรวจผู้ที่มือข้างหนึ่งถืออำนาจรัฐและมืออีกข้างยังถือปืนกุญแจมือพร้อมด้วยกฎหมาย ชาวบ้านกลัวและไม่กล้ายุ่งเกี่ยว

 

 

 

 

คำพิพากษาดังกล่าวพิสูจน์ว่าสิ่งที่ลูกชายพูดมาตลอด 9 ปี เป็นความจริงมิได้ให้ร้ายกล่าวหาตำรวจ แต่สิ่งที่ไม่เห็นพ้องคือบทลงโทษ ซึ่งก็ต้องร้องขอในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ผมมีหน้าที่ปกป้องครอบครัวและคนที่ผมรัก จึงต้องแสวงหาความยุติธรรมกลับคืนมาให้ได้"