ถึงทุกคนในสังคม สถาปนิกประชาชนผสมโรง "Terminal 2 สุวรรณภูมิ" ผิดแผนแม่บทกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

    จากกรณีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 (Terminal 2) ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เกี่ยวกับการประมูลแบบตัวอาคารผู้โดยสาร 2 จากแบบตัวอาคารมีความคล้ายกับสนามบินในประเทศญี่ปุ่น จนกลายเป็นชนวนเหตุของปมดราม่า ในเวลาต่อมาได้ปรากฏชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ชนะการประกวดราคางานออกแบบอาคารผู้โดยสาร หลังที่ 2 ในครั้งนี้คือ กลุ่มนิติบุคคลร่วมทำงาน ดีบีเอแอลพี-นิเคนเซกเก-อีเอ็มเอส-เอ็มเอชพีเอ็ม-เอ็มเอสอี-เออาร์เจ (DBALP) ซึ่งเป็นกลุ่มของ นายดวงฤทธิ์ บุนนาค 

 

    ทว่าหลังจากนั้นไม่นานราวกับเป็นการเติมเชื้อไฟ เพราะทางบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ยังคงยืนยันเดินหน้าที่จะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ต่อ ถึงแม้ว่าจะผิดไปจากแผนแม่บทที่เคยได้วางไว้ 

 

 

 

    ทางด้านนายดวงฤทธิ์ ก็ยืนยันว่าการออกแบบในครั้งนี้ ไม่ได้มีการลอกเลียนตามที่เป็นข่าว และพร้อมดำเนินคดีตามกฏหมายต่อผู้มีพฤติกรรมการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย โดยมิได้มีการวิเคราะห์อ้างอิงตามหลักวิชาการโดยวุฒิสถาปนิก ทว่าการดำเนินการต้องหยุดชะงักลงชั่วคราวเนื่องจากการประกวดแบบดังกล่าวอยู่ในระหว่างการฟ้องร้อง ทอท. จึงได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกฏหมายและคดี พิจารณาขั้นตอนการประกวดแบบอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอีกครั้ง เพื่อความรอบคอบ

    ประเด็นดังกล่าวยังไม่มีทีท่าว่าจะได้บทสรุปโดยง่าย ขณะเดียวกันกระแสสังคมก็ดูจะแผ่วเบาลงทุกขณะ จนทำให้มีเหล่านักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ ผู้ไม่ดูดายต่อผลประโยชน์ของชาติ พยายามหยิบยกประเด็นต่อยอดเพื่อให้สังคมกลับมาสนใจอีกครั้ง

 

 

 

   เช่นเดียวกับผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ Pairoj Jeerabun หรือ คุณไพโรจน์ จีรบุณย์ สถาปนิก เพื่อสังคม ได้ทำการโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวในหัวข้อ จากใจ "สถาปนิก เพื่อสังคม ถึง ทุกผู้คนในสังคม" สรุปความได้ว่า

 

    กรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น ถือเป็นผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม ประการสำคัญที่สุดคือ การสร้างอาคารแปลกปลอมที่อยู่นอกแผนแม่บท ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อสิ่งก่อสร้างโดยรวมของท่าอากาศยาน ซึ่งก่อนหน้านี้นั้นการก่อสร้างทั้งหมดได้คำนึงถึงความปลอดภัยและความสะดวกของผู้โดยสารมาโดยตลอด

 

 

 

    เกี่ยวกับประเด็นการออกแบบที่ถกเถียงมาก่อนหน้านี้นั้น ไม่ใช่สาระสำคัญเทียบเท่ากับที่ ทอท. พยายามจะสร้างอาคารแปลกปลอมขนาดใหญ่ โดยที่ยังไม่สามารถ ให้คำตอบหรืออธิบายต่อทุกคำถามได้อย่างกระจ่างชัด

 

    นอกจากนี้เรื่องที่ทำให้เกิดความฉงนคือ การพยายามให้ข้อมูลซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยนัยอาจสะท้อนถึง "การฉ้อฉล" และความไม่โปร่งใสของการดำเนินโครงการ เรื่องที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ความขัดแย้งเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะประชาชนทุกคนถือเป็นเจ้าของผลประโยชน์ หรืออาจเป็นผู้เสียหายร่วมกัน พร้อมทิ้งท้ายว่า ขอให้ประชาชนทุกคนพิจารณาเพื่อร่วมแสดงออก และในฐานะที่ตนเป็นประชาชนคนหนึ่งก็คงได้แต่ฝากความหวังไว้ ด้วยความเคารพในดุลยพินิจ ของทุกคน

 

สำหรับบทสรุปของเรื่องราวอันยื้ดเยื้อจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

 

 

ขอบคุณ : Pairoj Jeerabun - คุณไพโรจน์ จีรบุณย์