จับตา! "พ่อศิธา ทิวารี" เบี้ยวอัยการฟ้องคดีกรุงไทยรอบแรก หาก 31 ต.ค.ไม่โผล่...อาจไร้ข้อสงสัย...ว่า "หนี"

จับตา! "พ่อศิธา ทิวารี" เบี้ยวอัยการฟ้องคดีกรุงไทยรอบแรก หาก 31 ต.ค.ไม่โผล่...อาจไร้ข้อสงสัย...ว่าหนี

จับตา! "พ่อศิธา ทิวารี" เบี้ยวอัยการฟ้องคดีกรุงไทยรอบแรก หาก 31 ต.ค.ไม่โผล่...อาจไร้ข้อสงสัย...ว่าหนี

 

คงต้องยอมรับว่า...ในที่สุด...คดี "ฟอกเงินกรุงไทย" ก็ดูจะก้าวหน้าไปอีกขั้น หลังอัยการคดีพิเศษ 4 สั่งฟ้อง "นายพานทองแท้ ชินวัตร" บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ผู้อื้อฉาวไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เพราะหากเอ้อระเหย...คดีนี้อาจขาดอายุความในสิ้นปี 2561 นี้ง่าย ๆ เหมือนคดี "รับของโจร" ที่เดินคู่กันมา แต่ก็ถูก "อิทธิฤิทธ์" ของ "ระบอบทักษิณ" ที่แผ่ซ่านอยู่ทุกอณูเนื้อของสังคมไทย ไม่เว้นแม้กระทั่ง "กลางน้ำของกระบวนการยุติธรรม" ปล่อยให้ขาดอายุความไปต่อหน้าต่อตา ทั้งที่คดีมีอายุความถึง 10 ปี

 

แต่แม้คดีในส่วนของ  "นายพานทองแท้" จะคืบหน้า และจากนี้เจ้าตัว รวมทั้งกุนซือทางกฎหมายคงต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อแก้ข้อกล่าวหา แต่คดีอีกส่วนหนึ่ง  โดยเฉพาะกรณีของ "นายมานพ ทิวารี" บิดาของ "น.ต.ศิธา ทิวารี" อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย (น.ต.ศิธา ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มคนสนิทนายพานทองแท้) ซึ่งมีชื่อพัวพันในคดี "ทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย" มาด้วยกันตั้งแต่ต้นนั้น กลับเงียบฉี่...ราวกับนายมานพนั้น...หลุดรอดจากคดีไปแล้ว


เรื่องนี้ทำให้หลายฝ่ายเริ่มส่งเสียงดัง ๆ ว่า คดีของ "นายมานพ" ซึ่งเป็นบิดาของ "น.ต.ศิธา ทิวารี"  ซึ่งเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกฯ ในยุค "ทักษิณ 1" ที่เดินคู่มากับคดีของโอ๊ค...ไปถึงไหนแล้ว ใยที่ผ่าน ๆ มา แทบไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด ๆ ของฝ่ายบ้านเมืองต่อกรณีนี้เลย


ข้อสังเกตของสังคม...ส่งผลให้ "พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง" อธิบดี DSI ต้องโร่ออกมาแจงด้วยตนเองว่า คดีดังกล่าวพนักงานสอบสวนดีเอสไอมีความเห็นสมควร"สั่งฟ้องนายมานพ " และได้สรุปสำนวนพร้อมความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาไปให้พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษพิจารณาสั่งคดีแล้ว

 
 

"ที่ผ่านมากรณีของนายมานพนั้น อัยการไม่ได้สั่งให้ดีเอสไอสอบสวนเพิ่มเติม และขอยืนยันว่าจนถึงขณะนี้อัยการยังไม่มีความเห็นทางคดีว่าจะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง ส่วนผู้ต้องหากลุ่มอื่นๆที่รับเช็คจากผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร โดยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องไปก่อนหน้านี้แล้ว รวมถึงกรณีของ "นายพานทองแท้ ชินวัตร" บุตรชาย "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีรับเช็ค 10 ล้านบาท นางกาญจาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และนายวันชัย หงส์เหิน กรณีรับเช็ค 26 ล้านบาท"  พ.ต.อ.ไพสิฐ ระบุ

 

ถ้อยคำของอธิบดี DSI ดูจะยืนยันชัดเจนว่า "เผือกร้อนคดีนายมานพ" ตอนนี้พ้นจาก DSI ไปอยู่ในมือของ "อัยการ" แล้ว เรื่องนี้เป็นเหตุให้ "นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์" รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ต้องออกมาเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า หลังจากคณะทำงานอัยการฯ และพนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 ยื่นฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร กรณีรับโอนเช็ค 10 ล้านบาท และสั่งฟ้อง "นางกาญจนาภา หงษ์เหิน กับ นายวันชัย หงษ์เหิน กรณีรับโอนเช็ค 26 ล้านบาทแล้ว


ที่จริง...ในวันเดียวกันนั้น....คณะทำงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ก็ได้มีความเห็นและคำสั่งฟ้อง "นายมานพ ทิวารี" ผู้ต้องหาข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินเช่นกัน แต่ในวันที่ 10 ต.ค. 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 นัดส่งตัวเพื่อส่งฟ้องศาลนั้น "นายมานพ" ผู้ต้องหา รวมทั้ง "นางกาญจนาภา" และ "นายวันชัย" ไม่มาพบพนักงานอัยการตามนัด พนักงานอัยการจึงไม่สามารถฟ้องนายมานพ, นางกาญจนาภา และ นายวันชัยในวันดังกล่าวได้ อัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 สำนักงานคดีพิเศษ จึงแจ้งให้นายมานพ, นางกาญจนาภา และ นายวันชัย มาพบพนักงานอัยการเพื่อฟ้องต่อศาลในวันที่ 31 ต.ค. 2561 เวลา 10.00 น.


 

คำแถลงของ "รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด" แจ่มชัดจนไม่ต้องตีความใด ๆ อีกว่า ได้สั่งฟ้อง นายมานพ, นางกาญจนาภา และ นายวันชัย ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2561 ที่ผ่านมาแล้ว เพียงแต่วันนั้นผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ไม่มาตามนัด จึงต้องนัดส่งตัวต่อศาลอีกครั้งในวันที่ 31 ต.ค. 2561 ที่จะถึงนี้


ว่าไปแล้ว...คดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทยนั้น...ทำเอาอดีตผู้บริหารวัยเกษียณของธนาคารฯ หลายต่อหลายคน...ต้องมามีชีวิตบั้นปลายภายในกำแพงคุกถึงคนละไม่ต่ำกว่า 18 ปี เพียงเพราะยอมทอดกลายรับใช้ "นักการเมืองขี้ฉ้อ" ที่สั่งให้อนุมัติเงินกู้ ทั้ง ๆ ที่กลุ่ม " กฤษดามหานคร" ไม่อยู่ในข่ายที่จะอนุมัติให้ได้ เหตุที่กลุ่ม " กฤษดามหานคร" อยู่ในแบล็กลิสต์ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ แต่ด้วยยอมทำตามคำสั่งของ "บิ๊กบอส" ที่ยกหูผ่านคนสนิท (ซึ่งก็คือคนที่คุม ธ.กรุงไทยอีกชั้นหนึ่ง และตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ด้วย) สั่งให้อนุมัติได้...(เพราะบิ๊กบอสสั่ง) นั่นจึงเป็นต้นทางของการเดินเข้าซังเต...ในวัยเกษียณ

 

สำหรับ "นายมานพ" บิดาของ "น.ต.ศิธา ทิวารี" ไม่ได้อยู่ในฟากของผู้อนุมัติ แต่เขาก็เข้าไปเกี่ยวพันในคดีนี้ เพราะจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น พบว่า นายมานพ ได้นำเช็คของ บริษัท แกรนด์ แซทเทิลไลท์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของจำเลยจำนวน 154 ล้านบาท รวมกับเงินที่มีการโอนเข้าบัญชีของนายมานพก่อนหน้านี้ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 172 ล้านบาท ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 20 (คดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทยฯ มีผู้ต้องหาทั้งสิ้นกว่า 20 ราย)


และถึงแม้ นายมานพ จะเคยชี้แจงกรณีนี้ต่อคณะอนุกรรมการ คตส. ว่า จำเลยที่ 25 ได้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของจำเลยที่ 20 จำนวน 11.5 ล้านหุ้น เป็นเงิน 172,763,025 บาท แต่ตนมีเงินไม่พอ จึงขอยืมเงินจำเลยที่ 25 เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขการกู้ยืมว่า เมื่อครบกำหนดชระเงินกู้ ผู้กู้สามารถเลือกชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย หรือ เลือกใช้สิทธิขายคืนหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดเป็นการปลดภาระหนี้

 

แต่ทว่า...คำแก้ต่างนั้น...ดูจะไม่เป็นผล เพราะต่อมาตุลาการศาลฎีกาลงความเห็นว่า เงื่อนไขการกู้ยืมที่นายมานพ อธิบายมานั้น ผิดปกติวิสัยของการลงทุนโดยทั่วไป  ข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่สมเหตุผลที่จะรับฟังได้ กระทั่งส่งผลให้ตัวเขาตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในที่สุดเมื่อสัปดาห์ก่อน


จากนี้คงต้องจับตาดูว่า ในวันที่ 31 ต.ค. 2561 ที่จะถึงนี้ นายมานพจะโผล่ไปพบอัยการ...เพื่อนำตัวฟ้องต่อศาลหรือไม่...เพราะหลังจากที่เบี้ยวนัดอัยการ...เขาก็ซุ่มเงียบเรื่อยมา...และหากวันที่ 31 ต.ค. ยังคงเงียบหาย...ก็อาจทำให้ข้อสงสัยที่ว่า...หรือเขาจะหลีกหนีออกไปแล้ว...ดูจะไร้ข้อกังขาในทันที