เสียหายระดับประเทศ "กรรเชียงปูมหาโหด" สะท้อนการท่องเที่ยวไทย เปิดบทเรียนไล่แขกทุบหม้อข้าวตัวเองชัดๆ

   กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ภาครัฐต้องช่วยกันหาทางแก้ไข้โดยด่วนกับปัญหาราคาอาหารทะเลที่ขายแพงในช่วงวันหยุดยาว จนเป็นปัญหายืดมาเป็นเวลานานแม้ว่าจะมีร้านค้าหลายร้านออกมาบอกว่าในช่วงวัน 13 - 15 ต.ค. 61 สัตว์น้ำมีราคาแพงจากปัจจัยด้านต่างๆ

 

     กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ภาครัฐต้องช่วยกันหาทางแก้ไข้โดยด่วนกับปัญหาราคาอาหารทะเลที่ขายแพงในช่วงวันหยุดยาว จนเป็นปัญหายืดมาเป็นเวลานานแม้ว่าจะมีร้านค้าหลายร้านออกมาบอกว่าในช่วงวัน 13 - 15 ต.ค. 61 สัตว์น้ำมีราคาแพงจากปัจจัยด้านต่างๆ ทั้งสภาพอากาศฝนตกหนักจนชาวประมงไม่สามารถออกเรือไปจับสัตว์น้ำได้ โดยราคาอาหารทะเลในตลาดช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมานั้น มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ ราคา ปูม้าราคา กก.ละ 400-500 บาท กั้งกระดาน กก.ละ 350-500 บาท ปลากะพง กก.ละ 150-180 บาท กุ้งแชบ๊วย กก.ละ 300-400 บาท หอยแครง กก.ละ 120-140 บาท หอยแมลงภู่ กก.ละ 60-80 บาท ในส่วนของราคาอาหารทะเลอื่นๆ ยังต้องอาศัยปัจจัยในพื้นที่ร่วมด้วย เพราะหากมีการปรุงสำเร็จราคาของอาหารทะเลจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว อย่างที่เราเห็นกันในข่าวที่มีการแชร์อยู่ขณะนี้กับกรณีของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ออกมาโพสต์เรื่องราวการรับประทานอาหารทะเล ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งช่วงวันหยุดยาว 13 - 15 ต.ค. ที่ผ่านมาในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กลางเมืองหัวหิน  

 

       โดยผู้โพสต์เฟซบุ๊กรายนี้บอกต่อว่าได้สั่งอาหารกับเพื่อนมาทั้งหมด 4 อย่าง เมื่อเช็คบิลในราคา 1,460 บาท ก็เกิดติดใจกับราคากรรเชียงปูนึ่งที่สั่งมา เพราะภาพไม่ตรงกับปกเมนูอาหาร ขณะเดียวกันราคาอาหารก็แพงเกินความเป็นจริงด้วยราคาจานละ 650 บาท กับปริมาณกรรเชียงปูที่อยู่ในจาน 6 ชิ้น ทำให้เสียความรู้สึก จนกล่าวเป็นกระแสชั่วพริบตาเมื่อเรื่องราวของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เมื่อเพจดังอย่าง Red SKullZ นำไปขยี้ซ้ำ จนกลายเป็นประเด็นที่ภาครัฐต้องลงพื้นที่ไปตรวจสอบโดยด่วนเพราะหากปล่อยไว้อาจกระทบกับการท่องเที่ยวในภายหลัง

 

เสียหายระดับประเทศ "กรรเชียงปูมหาโหด" สะท้อนการท่องเที่ยวไทย เปิดบทเรียนไล่แขกทุบหม้อข้าวตัวเองชัดๆ

 

 

     ล่าสุดทางฝ่ายปกครอง นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบร้านอาหารที่เจ้าของเฟซบุ๊กรายดังกล่าวได้โพสต์เรื่องราวออกไป โดยมีการตรวจสอบรูปเมนูอาหารและราคาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเมนูกรรเชียงปูเจ้าปัญหา ส่วนเนื้อก้อนของปูม้า ระบุราคา 650 บาท ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ให้ทางร้านทำเมนูเจ้าปัญหามาให้เจ้าหน้าที่ดู ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า อาหารที่ร้านนำมาแสดง เป็นลูกปูม้าผ่าซีก ไม่ใช่กรรเชียงปู ก่อนจะเรียกเจ้าของร้านไปตักเตือนเพื่อแก้ปัญหาไม่ให้มีการเอาเปรียบผู้บริโภค เพราะเรื่องดังกล่าวกระทบการท่องเที่ยวของหัวหิน และในเบื้องต้นทางเจ้าของร้านมีการรับผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนทางด้านผู้บริโภคก็ไม่ติดใจเอาความอีก

 

    ขณะนี้ทางฝ่ายปกครองจะออกตรวจราคาร้านอาหารอย่างเข้มงวดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พร้อมทั้งกล่าวซ้ำว่าหากผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมสามารถร้องเรียนได้ที่ศูนย์ดำรงธรรม และหากพบว่าร้านนั้นๆ มีความผิดจริงจะรีบดำเนินการตามข้อกฎหมาย 

 

    ทั้งนี้หากย้อนไปในปี 2560 หลายคนคงจำได้กับกรณีการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคภายในร้านอาหารจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บริเวณหาดหัวหิน เมื่อมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งไม่พอใจหลังไปทานอาหารซีฟู้ดร้านหนึ่ง โดยรวมค่าอาหารเครื่องดื่มทั้งสิ้น 7,380 บาท จนผู้บริโภคเจ้าของเฟซบุ๊กท่านนี้ไม่พอใจ หลังมีการเรียกเช็คบิล ทั้งราคาอาหารที่มีการพบว่าแก้ไขราคาทะเลเผาเพิ่มเป็น 700 บาท จากที่กำหนดไว้ 500 บาท โดยการเอาสติ๊กเกอร์ปิดทับ

 

เสียหายระดับประเทศ "กรรเชียงปูมหาโหด" สะท้อนการท่องเที่ยวไทย เปิดบทเรียนไล่แขกทุบหม้อข้าวตัวเองชัดๆ
  
      หลังจากนั้นทางเทศบาลเมืองหัวหิน ก็เข้าตรวจสอบร้านอาหารริมหาดหัวหิน พร้อมนำบันทึกทัณฑ์บนไปให้เจ้าของร้านลงนามว่าหากผิดข้อตกลงการขายอาหารซีฟู้ด อีกครั้งทางเทศบาลสามารถยึดใบอนุญาตผู้ประกอบการร้านอาหารซีฟู้ด บนหาดหัวหินได้ ซึ่งเจ้าของร้านอาหารซีฟู้ดร้านดังกล่าวก็ออกมาขอโทษพร้อมน้อมรับขอตกลงแต่โดยดี

 

 

 

       นอกจากนี้ปัญหาการขายอาหารทะเลที่แพงเกินจริงบริเวณริมหาดทะเลยังส่งผลเลยไปถึงนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เคยออกข่าวถึงราคาที่แพงกว่าราคาคนไทยถึงเท่าตัว อย่างกรณีของ นักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มหนึ่ง ได้ร้องเรียนผ่านทางเว็บไซด์ดังของประเทศจีน ในปี 2561 ว่า ขณะที่เดินทางมาเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน และ เข้าไปรับประทานอาหารทะเลร้านหนึ่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พบว่าถูกร้านอาหาร หลอกลวง โกงน้ำหนักอาหาร และ คิดราคาแพง อีกทั้ง ยังประกาศเตือนนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่จะไปเที่ยวให้ระวังอย่าไปกินอาหารตามร้านโดยเด็ดขาด 

 

เสียหายระดับประเทศ "กรรเชียงปูมหาโหด" สะท้อนการท่องเที่ยวไทย เปิดบทเรียนไล่แขกทุบหม้อข้าวตัวเองชัดๆ

 

       ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ลงไปตรวจสอบพบว่าร้านอาหารในจังหวัดภูเก็ต ร้านนี้ทำผิดจริง มีการโกงน้ำหนักของสัตว์ทะเลที่นำมาปรุงอาหาร จึงคุมตัวเจ้าของร้านไปดำเนินคดี ใน ข้อหา จำหน่ายสินค้าไม่ตรงกับปริมาณสินค้าที่คิดเงิน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หามาตรการ สั่งปิด หรือ ยกเลิกจดทะเบียนร้านค้าดังกล่าวตามกฎหมาย เพราะถือว่า ทำให้เสียภาพลักษณ์การเป็นเมืองภูเก็ต แหล่งท่องเที่ยวใน 19 เมืองจากทั่วโลก ที่ได้รับรางวัลเมืองทางด้านการสังสรรค์อาหารของโลก  
   

เสียหายระดับประเทศ "กรรเชียงปูมหาโหด" สะท้อนการท่องเที่ยวไทย เปิดบทเรียนไล่แขกทุบหม้อข้าวตัวเองชัดๆ

 


      ในส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในตอนนี้พบว่ามีปริมาณที่ลดลงกว่าแต่ก่อนจากเหตุการณ์เรือล่มเมื่อช่วงเดือน ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนในความปลอดภัย เห็นได้ชัดจากเดือน ก.ค. 2561 ก่อนเกิดเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต นั้นมีจำนวนนักท่องเที่ยว 939, 771 คน ซึ่งเดือน ส.ค. 2561 มีอัตรานักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงอย่างเห็นได้ชัดเหลือ 867,461 คน  

 

      ทั้งนี้นายพงษ์ภาณุ  เศวตรุณทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ออกมาย้ำในสถานการณ์การท่องเที่ยว เดือน ก.ย. 2561 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2.65 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.13% จากเดือน ก.ย. ของปีที่ผ่านมา ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกมากที่สุด 1.94 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนยังคงมีจำนวนสูงสุด 648,000 คน แต่หดตัวจากเดือน ก.ย. ของปีที่แล้วถึง 14.89% สร้างรายได้เข้าประเทศไทย 36,870 ล้านบาท หดตัว 11.49% นอกจากนั้นจะเห็นว่าช่วงเดือน ก.ย. 2561 นักท่องเที่ยวชาวจีนมีการหดตัวลงจากเดือน ส.ค. 2561 ถึง 219,461 คน และเมื่อรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 28.54 ล้านคน ขยายตัว 8.71% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และสร้างรายได้รวม 1,490,458 ล้านบาท ขยายตัว 10.95% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

 

       แม้ว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวในปีนี้จะยังสามารถเดินไปในทิศทางที่ดีได้ แต่ก็อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจเพราะเหตุการณ์ทั้งสามกรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวภายในประเทศลดหายไปจากการเอารัดเอาเปรียบของร้านค้า และบริการที่อาจเป็นการไล่นักท่องเที่ยวทางอ้อม โดยฉวยโอกาสในการขอขึ้นราคาอาหาร ทั้งที่แต่ละท้องถิ่นมีราคากำหนดไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่เฉพาะแต่จะเป็นการตัดนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นแต่ยังทำลายความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวไทยเองด้วยเช่นกัน