เค้าคุมอำนาจใหญ่สุดในบ้าน จากปากของปู่ แฉแม่เลี้ยงสิ้น ทำร้ายเด็กประจำ พฤติกรรมแทบรับไม่ได้ เผยคงเป็นเวรกรรมที่ปู่ช่วยไม่ได้!

เค้าคุมอำนาจใหญ่สุดในบ้าน จากปากของปู่ แฉแม่เลี้ยงสิ้น ทำร้ายเด็กประจำ พฤติกรรมแทบรับไม่ได้ เผยคงเป็นเวรกรรมที่ปู่ช่วยไม่ได้!

จากกรณีวันที่ 16 ต.ค. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.30 น. จากกรณีที่แม่เลี้ยงใจยักษ์ร่วมกับพ่อแท้ๆ ทำร้ายลูกอายุ 14 ปี มานานหลายปี จนเด็กชายต้องหนีออกจากบ้าน ปั่นจักรยานหนีไปหาแม่แท้ๆ ที่ จ.ระยอง โดยใช้เวลาปั่นจักรยานจากปทุมธานี 3 ชั่วโมง ไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อให้แม่มารับกลับไปอยู่ด้วย เหตุเกิดที่โครงการบ้านเอื้ออาทร ม.44 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ต่อมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ.คลองหลวง สามารถจับกุมทั้ง น.ส.นรินทร แม่เลี้ยง และ นายอัครเศรษฐ์พร ผู้เป็นพ่อ ได้แล้ว โดยจับได้ที่บ้านญาติ ย่านสายไหม กรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวน

โดยเด็กชายที่ถูกทำร้าย เรียนอยู่ที่โรงเรียนเทศบาลท่าโขลง 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และทางเพื่อนๆ บอกว่า เพื่อนที่ถูกแม่เลี้ยงทำร้ายนั้นนิสัยดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และเพิ่งจะเข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เมื่อตอน ม. 2 ซึ่งแผลที่อยู่ตามตัวนั้นตนเห็นมาตั้งแต่ตอนเข้าเรียนใหม่ๆ แล้ว ซึ่งตนก็ได้ถามว่าไปโดนอะไรมา โดยเพื่อนบอกว่าจักรยานล้ม และไม่ได้บอกความจริงว่าถูกแม่เลี้ยงกับพ่อทำร้าย ตนจึงเพิ่งจะมาทราบตอนที่เป็นข่าวนี้เอง และก็รู้สึกสงสารเพื่อนที่ต้องมาถูกกระทำเช่นนี้

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสภ.คลองหลวง ได้นำตัว น.ส.นรินทร และนายอัครเศรษฐ์พร เข้าห้องขังโดยไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวกันอยู่

ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนเข้าไปที่ห้องขังนั้น ทางด้าน น.ส.นรินทร (แม่เลี้ยง) ได้วิ่งเข้ามาตบกล้องของผู้สื่อข่าวที่กำลังถ่ายวิดีโออยู่ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่าทางนายอัครเศรษฐ์พร ของเด็กชายอายุ 14 ปี ยอมรับสารภาพว่าตนเองเป็นคนตีลูกเอง ไม่ได้เกี่ยวกับแม่เลี้ยงที่ตนทำไปนั้นเป็นการสั่งสอนเพียงเท่านั้น

 

เค้าคุมอำนาจใหญ่สุดในบ้าน จากปากของปู่ แฉแม่เลี้ยงสิ้น ทำร้ายเด็กประจำ พฤติกรรมแทบรับไม่ได้ เผยคงเป็นเวรกรรมที่ปู่ช่วยไม่ได้!

 

 

พระชยพุฒโฑ ปู่ของด.ช. 14 ปี เปิดเผยว่า ตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ที่บ้านเอื้ออาทร ซึ่งเป็นบ้านของแม่เลี้ยง ได้รับรู้และเห็นว่าหลานถูกตบตี ทำร้ายร่างกายอย่างทารุณมาโดยตลอด โดยเฉพาะเวลาที่แม่เลี้ยงโมโห ก็มีจะปากเสียง ด่าเด็กตลอด ยิ่งตอนที่อาตมาไม่อยู่ในบ้าน แม่เด็กก็จะทำร้ายอย่างหนัก ครั้งที่หนักที่สุดที่เห็นต่อหน้า คือ เมื่อตอนแม่เลี้ยงตบหน้าหลานอย่างแรง อาตมาเข้าไปห้าม และเคยขอร้องว่าอย่าทำร้ายร่างกายเด็ก แต่แม่เลี้ยงไม่เคยรับฟัง เมื่อกล่าวตักเตือน ก็มักจะมีปากเสียงกระทบกระทั่งกันตลอด ไม่สามารถพูดอะไรได้มาก เพราะต้องขออยู่อาศัยที่บ้านของแม่เลี้ยง

นอกจากนี้ ระหว่างที่พักอาศัยอยู่บ้านของแม่เลี้ยงนั้น ก็มีย่าพักอยู่ด้วย ซึ่งในระหว่างนั้นย่ากำลังป่วย เป็นโรคมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ก่อนที่จะเสียชีวิต ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ อาตมายอมอดทนอยู่บ้านแม่เลี้ยง เพราะต้องคอยพาย่าไปพบหมอใน กทม. ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าอาตมายินยอมแม่เลี้ยงแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้จริง ๆ แม่เลี้ยงด่าทอ คุมอำนาจใหญ่สุดในบ้าน ในขณะที่ย่ากำลังป่วยอยู่นั้น อาตมาไม่มีเงินซื้อยาให้ย่า ชีวิตอดอยาก ไม่มีเงินติดตัว ต้องคอยขอเงินแม่เลี้ยงใช้ เพราะบัตร ATM ที่เงินบำนาญเข้าทุกเดือนกว่า 2 ปี นั้น ลูกชายและลูกสะใภ้ยึดครองทั้งหมด จึงไม่มีเงินตกถึงมืออาตมา ซึ่งเงินเข้าเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 2 ปี

 

 

เค้าคุมอำนาจใหญ่สุดในบ้าน จากปากของปู่ แฉแม่เลี้ยงสิ้น ทำร้ายเด็กประจำ พฤติกรรมแทบรับไม่ได้ เผยคงเป็นเวรกรรมที่ปู่ช่วยไม่ได้!

 

 

โดยหลังจากเสร็จพิธีฌาปณกิจศพ และทำบุญร้อยวันเสร็จ อาตมาก็ตัดสินใจหนีออกมาจากบ้าน มาบวชที่วัดแห่งนี้ทันที เพราะทนพฤติกรรมของลูกสะใภ้ไม่ไหว สงสารหลาน แต่ไม่สามารถช่วยได้ จึงเคยบอกกับหลานว่า ถ้ามีโอกาส ให้หนีไปหาแม่แท้ ๆ ที่ จ.ระยอง ทั้งนี้ ก่อนออกมาบวช ร่างกายเด็กยังไม่มีแผลเยอะตามที่เป็นข่าว ซึ่งอาจจะถูกทรมานหนักมากช่วงที่อาตมาไม่อยู่

พระชยพุฒโฑ ฝากบอกหลานทั้งน้ำตาว่า ให้รักษาตัวดี ๆ โตขึ้นจะได้มีงานทำ ที่แล้ว ๆ มาคงเป็นเวรกรรมที่ปู่ช่วยไม่ได้ หลังจากนี้ ปู่จะขออยู่ใต้ร่มผ้าเหลืองตลอดบั้นปลายชีวิตจนสิ้นลมหายใจ

 

Cr.amarintv