ไม่ธรรมดา เปิดปูมหลังอดีตนายตำรวจยศใหญ่ดาวรุ่งสันติบาล "สันธนะ ประยูรรัตน์" ผู้กว้างขวางวงการสีเทา

พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ ชื่อนี้ถูกพูดถึงอีกครั้งเมื่อมีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ถอดออกจากยศตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2545 ซึ่งเป็นวันที่ลงโทษไล่ออกจากราชการ เนื่องจากได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 28

ไม่ธรรมดา เปิดปูมหลังอดีตนายตำรวจยศใหญ่ดาวรุ่งสันติบาล "สันธนะ ประยูรรัตน์" ผู้กว้างขวางวงการสีเทา

 

    พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ ชื่อนี้ถูกพูดถึงอีกครั้งเมื่อมีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ถอดออกจากยศตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2545 ซึ่งเป็นวันที่ลงโทษไล่ออกจากราชการ เนื่องจากได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติพ.ศ.2547 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยภรณ์ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย และเบญจมาภรณ์ช้างเผือก ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยภรณ์ พ.ศ.2548

 

    โดยอดีตนายตำรวจรายนี้ถูกพูดถึงในสังคมช่วงที่ผ่านมาอย่างมากมายทั้งด้วยผลงานขณะอยู่ในตำแหน่ง และเมื่อถูกถอดออกจากราชการก็ยังคงปรากฏชื่อในหน้าสื่อไม่ขาดสาย ในวันนี้สำนักข่าวทีนิวส์จะได้พาไปย้อนดูประวัตินายสันธนะ อดีตนายตำรวจยศใหญ่ดาวรุ่งสันติบาล

 

    เมื่อช่วงเดือน พ.ค. 2561 มีการจุดประเด็นร้อนขึ้นบนโลกออนไลน์ เกี่ยวกับการลักลอบขายสินค้าไม่ได้มาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. โดยมีการพุ่งเป้าไปยังตลาดใหม่ดอนเมืองที่เป็นเสมือนคลังสินค้าขนาดใหญ่ 

 

    ร้อนไปถึง พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 400 นาย เข้าทำการตรวจค้นร้านค้า หากยังไม่ทันจะได้ดำเนินการ กลับปรากฏตัวนายสันธนะ ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการบริษัทพัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โดยทักท้วงถึงข้อกฏหมาย อีกทั้งไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตั้งศูนย์ปฎิบัติการในพื้นที่ กลายเป็นสงครามวิวาทะระหว่างพี่น้องรั้วสามพรานขนาดย่อม

 

 

ไม่ธรรมดา เปิดปูมหลังอดีตนายตำรวจยศใหญ่ดาวรุ่งสันติบาล "สันธนะ ประยูรรัตน์" ผู้กว้างขวางวงการสีเทา

 

    ฉับพลันทันใด ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ อดีตนายตำรวจในคราบนักธุรกิจเจ้าของกิจการ ผู้หาญกล้าท้าชนกับบิ๊กตำรวจอย่างไม่ประหวั่นพรั่นพรึง ด้วยสำคัญถึงอิทธิพลและเส้นสายอันกว้างขวางของตน ซึ่งหากใครที่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง หรือเชี่ยวในแวดวงตำรวจอยู่บ้าง ย่อมรู้จักและคุ้นเคยในตัวนายสันธนะ จากการปรากฏตัวผ่านสื่อเป็นอย่างดีเพราะอดีตสุภาพบุรุษสามพรานผู้นี้เคยมีดีกรีเป็นถึง อดีตรองผู้กำกับสันติบาล แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีประวัติอันโชกโชนพัวพันเกี่ยวข้องกับกิจการ "สีเทา" ทั้งยังมีบทบาทในทางการเมืองอยู่บ้าง เหล่านี้จึงทำให้ นายสันธนะ ฉายแววโดดเด่นเกินหน้าเกินตาเพื่อนร่วมรุ่น ถึงแม้จะเป็นด้าน "ลบ" มากกว่า "บวก" ก็ตามที

    สันธนะ ประยูรรัตน์ เกิดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2502 เป็นบุตรคนที่ 3 ของ พล.ต.ต.สมชาย และนางนิตยา ประยูรรัตน์ จบการศึกษาชั้นมัธยมตอนต้นจากโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ต่อมาอาจด้วยเพราะได้รับอิทธิพลและซึมซับความเป็นตำรวจจากบิดา จึงตัดสินใจก้าวสู่รั้วจักรดาวโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 17 และขึ้นเหล่าเป็นนายร้อยตำรวจ รุ่น 33 หลังจากนั้นเข้ารับการศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาลัยตำรวจ F.B.I ประเทศสหรัฐอเมริกา ควบคู่กับปริญญาโท นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคําแหง

 

    ชีวิตการรับราชการตำรวจ นายสันธนะ เคยดำรงตำแหน่ง สารวัตรงาน 5 กองกำกับการ 3 กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจสันติบาล 2 สารวัตรงาน 4 ฝ่าย 4 กองตรวจคนเข้าเมือง 2 รองผู้กำกับการ ชุดตรวจงานป้องกันปราบปราม ส่วนตรวจราชการ 5 สำนักงานจเรตำรวจ รองผู้กำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาล 2

 

    ต่อมาในปี 2545 ชีวิตผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของเขาต้องสิ้นสุดลงเมื่อ นายสันธนะ ถูกให้ออกจากราชการ ข้อหาขัดขวางการเข้าจับกุมบ่อนการพนันของ สน.บางกอกน้อย ก่อนที่จะเบนเข็มชีวิตเดินหน้าในเส้นทางการเมืองด้วยการดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชากรไทย ต่อมาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ในปี 2549 แต่สอบตก จะด้วยเพราะเป็นปีชง หรือคราวเคราะห์ไม่ทราบได้ เพราะในปีเดียวกัน นายสันธนะ ถูกลอบยิง หลังกลับมาจากดูการแข่งม้า หากยังไม่ถึงฆาตเจ้าตัวรอดอย่างหวุดหวิด แต่ลูกน้องกลับต้องสังเวยชีวิตแทน โดยเหตุกาณ์ดังกล่าวนายสันธนะ เผยว่ารู้ว่าเป็นฝีมือใคร สาเหตุเกิดจากเรื่องส่วนตัวที่ไม่ยอมลงให้กับคู่กรณีที่เป็นมาเฟียมีอิทธิพล ตอกย้ำให้เห็นว่านายตำรวจผู้นี้เป็นคน "ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ" โดยแท้จริง

 

 

ไม่ธรรมดา เปิดปูมหลังอดีตนายตำรวจยศใหญ่ดาวรุ่งสันติบาล "สันธนะ ประยูรรัตน์" ผู้กว้างขวางวงการสีเทา

    หลังจากนั้นในปี 2550  นายสันธนะ ได้ลงสมัคร ส.ส.กทม. เขต 5 ในนามพรรคประชากรไทย แต่ก็ต้องสอบตกผิดหวังอีกครั้ง นอกจากนี้ในช่วงวิกฤตการณ์การเมืองไทย เมื่อช่วงปี 2548-2552 ผ่านการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายสันธนะ เป็น 1 ใน 25 แกนนำผู้ต้องหาปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อต่อรองกับนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้ลาออกจากตำแหน่ง

 

    จนมาในปี 2552 นายสันธนะ ถูกตำรวจ สภ.เชียงแสน จ.เชียงใหม่ จับกุม ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนและไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ มีวิทยุโทรคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

 

ไม่ธรรมดา เปิดปูมหลังอดีตนายตำรวจยศใหญ่ดาวรุ่งสันติบาล "สันธนะ ประยูรรัตน์" ผู้กว้างขวางวงการสีเทา

 

    ทาง นายสันธนะ ก็มิได้ยอมรับข้อกล่าวหาและเข้าสู่กระบวนการทางกฏหมายโดยง่าย เพราะเจ้าตัวยังคงให้การภาคเสธพร้อมทั้งขู่ฟ้องกลับ โดยระบุว่าสิ่งที่กระทำลงไปเป็นการทำงานภาคประชาชน โดยมีแผนจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปแจ้งต่อ ผบก.ภ.จว.เชียงราย ผู้บังคับบัญชาที่อยู่สูงขึ้นกว่า สภ.เชียงแสน รวมทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้ได้รับทราบ เพื่อจะได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ต่อไป โดยอาวุธปืนทั้งหมดยืนยันว่าเป็นของตน แต่สาเหตุที่เก็บเอาไว้เพราะเคยถูกปองร้ายมาแล้วหลายครั้ง

 

    จากนั้นในปี 2554 นายสันธนะ ก็ได้ออกมาร้องเรียนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เพื่อเอาผิดสนามม้าราชกรีฑาสโมสร ถึงความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับการจัดแข่งม้าการกุศล ต่อมาในปี 2555 ได้ออกมาให้ข่าวเกี่ยวกับขบวนการไซฟ่อนเงิน จากการทุจริตในภาครัฐ ไปฮ่องกง และในปี 2556 พ.ต.ท.สันธนะ ที่ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ประธานกรรมการ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการว่าจ้างจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง ทั่วประเทศ มูลค่า 5,848 ล้านบาท ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวเรียกร้องความเป็นธรรม

 

    โดยกล่าวว่าหลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ผู้ประกอบการส่งมอบงานภายในวันที่ 17 เมษายน 2556 ซึ่งหากไม่สามารถปฏิบัติตามในกำหนดจะบอกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงทั้งหมด สังคมรับรู้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ยังมีเรื่องที่ถูกปกปิดไว้ เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการดำเนินการ และการนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง นายสันธนะ จึงแนะนำให้ทุกฝ่ายหันหน้าคุยกันใหม่อีกครั้ง

 

 

ไม่ธรรมดา เปิดปูมหลังอดีตนายตำรวจยศใหญ่ดาวรุ่งสันติบาล "สันธนะ ประยูรรัตน์" ผู้กว้างขวางวงการสีเทา

 

    และในเดือน ก.ค. ปี 2560 จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ กรณีฆาตกรรมยกครัว 8 ศพ ซึ่ง นายสันธนะ ได้ออกมาเคลื่อนไหวโดยให้ข้อมูลระบุว่า สาเหตุของการสังหารเกิดจากการที่มีผู้จ้างวาน เนื่องจากเสียผลประโยชน์ 40-50 ล้านบาท โดยผู้อยู่เบื้องหลังคือ "เจ๊ชุมพร" แต่แล้วการคาดเดาของ นายสันธนะ ก็เป็นอันต้องตกไปเพราะ ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสรุปคดี ได้มีการยืนยันว่า เจ๊ชุมพร ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

 

    ต่อมา 26 เม.ษ.2561 นายสันธนะ ในฐานะเจ้าของคอกม้ามิตรภาพไทยเวิลด์ ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น. ให้ทำการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการทางวินัยกับ พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. ในฐานะรองหัวหน้าชุดปฏิบัติการ ศูนย์ป้องกันปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันแข่งม้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปพม.ตร.) ด้วยเหตุที่ว่าตนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นยศพันตำรวจเอก ต่อว่าเสียงดัง และแสดงกิริยาไม่เหมาะสม โดยพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ไม่ได้ห้ามปรามผู้ใต้บังคับบัญชาคนดังกล่าวแต่อย่างใด

 

    จนล่าสุด 25 ต.ค. 2561 ที่นายสันธนะ ได้ปรากฏตัวต่อหน้าสื่ออีกครั้ง เพื่อนำยศที่ถูกถอดตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. 2561 มาคืนที่กองบังคับการปราบปราม จากคำสั่งถอดพันตำรวจโทสันธนะ ประยูรรัตน์ ออกจากยศตำรวจ 
 

    โดยทางเจ้าตัวให้เหตุผลว่ากองปราบเป็นหน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่น่าจะเชื่อถือได้ ซึ่งถ้าหน่วยงานไม่รับตนก็จะนำไปส่ง คืนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯรัฐมนตรี ต่อไป