จับตา ผู้กองมนัส ขุมพลังประชารัฐ กุมพื้นที่การเมืองท้องถิ่น สู่ยุทธศาสตร์ภาคเหนือ!

จับตา ผู้กองมนัส ขุมพลังประชารัฐ กุมพื้นที่การเมืองท้องถิ่น สู่ยุทธศาสตร์ภาคเหนือ!

บรรยากาศการประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐ ที่โรงแรมแชงกรีล่า (18พ.ย.61) เป็นไปอย่างคึกคัก ทางด้านกลุ่มสามมิตร ภายใต้การนำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้ยกทัพขนขุนพลทั้ง อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส.  การเมืองท้องถิ่น ประมาณ 60 คน มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)

 

อาทิ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข อดีต ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ พรรคเพื่อไทย นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตแกนนำเสื้อแดง นายจำลอง ครุฑขุนทด อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษา พรรคเพื่อไทย  โดยมีนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ให้การต้อนรับ

ประเด็นที่ทำเอาสปอตไลท์การเมืองหันมาจับจอง คือการเดินทางมาร่วมประชุมพรรคของ ร.อ.ธรรมมนัส พรมมเผ่า  หรือ ผู้กองมนัส ที่ตัดสินใจทิ้งพรรคเพื่อไทย มากุมบังเหียนให้พรรคพลังประชารัฐ พื้นที่ยุทธศาสตร์ทั้งภาคเหนือ  โดยเปิดเผยถึงเหตุผลในการมาร่วมงานกับพรรคว่า เนื่องจากต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง อยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าได้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยข้างถนน แบบนั้นไม่ทำบ้านเมืองเดินไปไหนได้

 

จับตา ผู้กองมนัส ขุมพลังประชารัฐ กุมพื้นที่การเมืองท้องถิ่น สู่ยุทธศาสตร์ภาคเหนือ!

 

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้สมัคร ส.ส.พะเยา ขณะนี้มีตัวผู้สมัครครบทั้งหมดแล้ว ส่วนตัวนั้นผู้ใหญ่จะให้อยู่ตรงไหนก็คงจะมีการพิจารณา แต่คาดว่าจะได้ลง ส.ส. ในแบบบัญชีรายชื่อ

 

สำหรับ “ผู้กองนัส” พะเยา เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 25 และจบนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ รุ่นที่ 36 รุ่นเดียวกันกับ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ เป็นนายทหารได้ไม่นาน ออกจากราชการปี 2542 ก็ผันตัวเองมาทำธุรกิจรักษาความปลอดภัย ชื่อ "บริษัท ธรรมนัส การ์ด" ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่ดูแลสนามบินสุวรรณภูมิ

 

ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิธรรมนัสพรหมเผ่าเพื่อการกุศล และ “นางจุฬาสินี พรหมเผ่า” ภรรยา เป็นนายกเทศบาลเมืองพะเยา ถือว่าเป็นนายกเทศมนตรีหญิงคนแรกของพะเยา ขณะที่น้องชาย “นายอัครา พรหมเผ่า” เป็นอดีตรองนายก อบจ.พะเยา ที่ถูกจับตามองว่ามีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวของทางการเมืองในพื้นที่จังหวัดพะเยา

 

ขณะที่เส้นทางทางการเมืองของ ผู้กองมนัส ในการเลือกตั้งเมื่อต้นปี 57  เขาได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในฐานะ  ส.ส.บัญชีรายชื่่อพรรคเพื่อไทย แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นเกิดเป็นโมฆะ ต่อมาผู้กองมนัสไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย

 

จนกระทั้งเมื่อ 25 ก.ค.61 “ผู้กองมนัส” ได้แถลงจุดยืนทางการเมืองผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊คส่วนตัว ในหัวข้อ   “การเมืองใหม่ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อประเทศชาติ-ประชาชน” บางช่วงบางตอน ระบุว่า..

“ผู้กองนัส” ได้มองย้อนการเมืองในอดีตที่มีการปฏิวัติในปี 2549 ถึงการเมืองในปัจจุบัน ว่า “การเมืองของบ้านเราในช่วงระยะเวลาสิบปี ตั้งแต่ปฏิวัติครั้งปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ปี 2561 ร่วม 12 ปี การเมืองบ้านเราอยู่กับความแตกแยก คนไทยแบ่งกันเป็นก๊ก เป็นเหล่า เล่นกีฬาสีกัน ไม่ว่าจะกลุ่มสีแดง สีเหลือง หรือสีอะไรก็ตาม ซึ่งทำให้ประเทศชาติหรือบ้านเมืองเราถอยหลังในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง เสาหลักของบ้านเมืองเรา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 สถาบัน คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ค้ำจุนและเป็นที่ยึดเหนี่ยวของคนไทยทุกคน ถูกทำให้ต้องมัวหมองด้วยคนไทยด้วยกัน 

 

จับตา ผู้กองมนัส ขุมพลังประชารัฐ กุมพื้นที่การเมืองท้องถิ่น สู่ยุทธศาสตร์ภาคเหนือ!

 

เรากำลังเจาะเวลาย้อนไปหาอดีตสมัยที่เราเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นเหตุผลหนึ่งเกิดจากคนไทยขาดความรัก ความสามัคคี ดังนั้นสาเหตุที่ทำให้คนไทยเราต้องจับอาวุธมาห้ำหั่นกันเองมาจากเรื่องของการเมืองทั้งนั้น การเมืองโดยผู้นำการเมือง คงไม่ต้องระบุว่าเป็นพรรคไหน สีไหน ซึ่งสังคมก็รู้อยู่แล้วว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้ทำให้บ้านเมืองเกิดความแตกแยก ขาดความรัก ความสมานสามัคคีกัน จนทำให้เราต้องใช้พื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครเป็นสมรภูมิรบกัน ห้ำหั่นกัน คนไทยหลายชีวิตต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น มีคนไทยที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเอาชีวิตไปจบไว้ที่นั่น หรือแม้กระทั่งมีนักต่อสู้ประชาธิปไตยหลายๆ ท่านต้องไปจบชีวิตที่นั่น และอีกหลายท่านไปจบชีวิตในห้องขัง 


ซึ่งผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่บ้านเมืองเราจะต้องเดินหน้า เราเลิกทะเลาะกัน การเมืองไม่ควรจะมีสีต่างๆ ธงชาติไทยมีสามสีที่สง่างาม เสาหลักเราทั้งสามสถาบันคือเสาหลักที่ค้ำบ้านค้ำเมืองให้เดินต่อไปได้”


“ธรรมนัส” ย้ำว่าการเมืองศตวรรษใหม่ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง “การเมืองในศตวรรษใหม่ในทัศนคติของผม เป็นสิ่งที่ควรก้าวข้ามความขัดแย้ง ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าได้ หลีกเลี่ยงจากการปะทะ หลีกเลี่ยงจากความแตกแยก เราแตกแยกกันแล้ว เกิดอะไรขึ้น ได้อะไรหรือไม่ ไม่มีเลยครับ พี่น้องประชาชนยังทุกข์ยาก ลำบาก เหมือนเดิม นักธุรกิจระดับ SME ล้มหายจากวงการธุรกิจกันหมด มีพี่น้องหลายคนที่อพยพจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง จากจังหวัดของตัวเอง ไปทำมาหากิน ทำธุรกิจ ที่กรุงเทพมหานคร ในระดับ SME ก็ดี หรือระดับกลาง ระดับใหญ่ เสียหายกันหมด ต้องกลับมาทำอาชีพเดิมที่บ้าน คือ เกษตรกร ซึ่งผมไม่อยากเห็นภาพอย่างนั้น”


ผู้กองนัส” จึงมุ่งหน้าทำการเมืองใหม่ โดยการรวมกลุ่มของพลังเล็กๆ ในแต่ละจังหวัด ด้วยกลุ่มคนในพื้นที่นั้นๆ


“การทำการเมืองใหม่ด้วยกลุ่มพลังเล็กๆ ในพื้นที่ แล้วเชื่อมโยงรวมตัวเป็นพลังใหญ่ในภายหลัง เป็นแนวคิดและการทำการเมืองของผมในขณะนี้....

(อ่านฉบับเต็มได้ที่ ... https://www.facebook.com/thamanatprompow888/posts/433877520425268?__tn__=K-R )

 

อนึ่งการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองครั้งนี้ของผู้กองมนัส ถือเป็นจุดศูนย์กลางการเมืองท้องถิ่นภาคเหนือ จึงเป็นเรื่องที่น่าจับจ้องอยู่ไม่น้อย ในการเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ที่ชู บิ๊กตู่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นั่งเก้าอี้นายกฯต่อ