สรรพากรมอบของขวัญปีใหม่แก่ ผู้ถือบัตรคนจน ให้แล้วให้เลย ไม่ต้องรีบกด

สืบเนื่องจากกรณีรัฐบาลจ่ายเงินจำนวน 500 บาท เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเป็นของขวัญส่งท้ายปีให้แก่ประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) โดยเริ่มเปิดโอกาสให้ทำการกดเงินสดในวันที่ 8 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา

สรรพากรมอบของขวัญปีใหม่แก่ ผู้ถือบัตรคนจน ให้แล้วให้เลย ไม่ต้องรีบกด

 

สืบเนื่องจากกรณีรัฐบาลจ่ายเงินจำนวน 500 บาท เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเป็นของขวัญส่งท้ายปีให้แก่ประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) โดยเริ่มเปิดโอกาสให้ทำการกดเงินสดในวันที่ 8 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา ทั้งนี้มีการจัดระเบียบด้วยการกำหนดวันตามหมายเลขบัตรว่าสามารถทำการถอนเงินได้ตั้งแต่วันไหน แต่ปรากฏว่ามีประชาชนบางคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารและคำชี้แจง ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน มุ่งหน้าไปทำธุรกรรมที่ตู้เอทีเอมประจำจุดตั้งแต่วันแรกอย่างคับคั่ง จนกลายเป็นความอลหม่านขนาดย่อมในเวลาต่อมา
 
เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ทางเพจเฟซบุ๊ก กรมสรรพากร ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า "ด่วนที่สุด รัฐบาลโอนเงินของขวัญปีใหม่เข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิ 11 ล้านคน คนละ 500 บาท ระหว่าง 8-10 ธ.ค. 61 ซึ่งเงินในกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว จะไม่จำกัดเวลาในการใช้ ไม่มีการดึงเงินกลับ ซึ่งจะแตกต่างจากวงเงินสวัสดิการซื้อสินค้าธงฟ้า 200/300 บาท ซึ่งต้องใช้จ่ายภายในเดือน ดังนั้นผู้มีสิทธิไม่จำเป็นต้องถอนเงินตอนนี้ เงินของขวัญ 500 บาท ก็จะคงอยู่ในบัตรตลอดไป จนกว่าผู้มีสิทธิมีความจำเป็นต้องใช้ โดยสามารถกดเป็นเงินสดผ่านตู้ ATM กรุงไทย ถอนเงินจากบัตรที่สาขาธนาคารกรุงไทย หรือใช้จ่ายเงินดังกล่าวที่ร้านธงฟ้า รวมทั้งร้านค้าเอกชนอื่นที่รับบัตรสวัสดิการ"

 

สรรพากรมอบของขวัญปีใหม่แก่ ผู้ถือบัตรคนจน ให้แล้วให้เลย ไม่ต้องรีบกด

สรรพากรมอบของขวัญปีใหม่แก่ ผู้ถือบัตรคนจน ให้แล้วให้เลย ไม่ต้องรีบกด

ทั้งนี้มีรายงานว่าประชาชนผู้ถือบัตรพากันไปกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มในพื้นที่เป็นจำนวนมาก เพื่อตรวจสอบยอดเงินที่ภาครัฐได้โอนเข้าบัญชีรายละ 500 บาท เช่น ในพื้นที่ ต.เนินพระปรางค์ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี พบว่าบางรายนำบัตรของญาติพี่น้องสูงอายุมากดแทน ด้วยเพราะผู้ถือบัตรบางคนไม่ทราบวิธีกดที่มีขั้นตอนยุ่งยากพอสมควร ขณะที่ เขต อ.เมือง จ.นครราชสีมา ก็พบว่ามีประชาชนรอถอนเงินด้วยจำนวนไม่ต่างกัน แต่ทุกคนล้วนแต่แสดงออกถึงอาการดีใจที่ได้รับเงินขวัญถุงจำนวน 500 บาทจากรัฐบาล และกล่าวต่อว่าจะนำเงินไปซื้อของอุปโภคบริโภค
 
อย่างไรก็ตามกรมบัญชีกลาง ได้เน้นย้ำว่าจะทยอยโอนเงินเข้าบัญชีตามเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน โดยในวันที่ 8 ธ.ค. จะโอนเงินให้เลขบัตรที่ขึ้นต้นด้วย 32, 33 และ 34 จำนวน 4 ล้านราย วันที่ 9 ธ.ค. โอนเงินให้เลขบัตรที่ขึ้นต้นด้วย 31,35,36,37,38 และ 39 จำนวน 4.2 ล้านราย และในวันที่ 10 ธ.ค. โอนเงินให้เลขบัตรที่ขึ้นต้นด้วย 1,2,4,5 และ 8 อีกจำนวน 2.9 ล้านราย
 
ความคืบหน้าล่าสุดจาก นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 17 ธ.ค. 2561 ทางกระทรวงฯจะเริ่มทำการประเมินผลการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบื้องต้นยืนยันว่าประสบความสำเร็จ แต่อาจต้องปรับปรุงแก้ไขในบางจุด โดยเฉพาะการลงทะเบียนรายบุคคลอาจไม่ตอบโจทย์ 100% เนื่องจากพบว่าบางครัวเรือนมีฐานะ แต่เมื่อลงทะเบียนเป็นรายบุคคลกลับมีคุณสมบัติที่สามารถทำบัตรได้ เพราะไม่มีรายได้ ไม่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง นำมาซึ่งคำถามในสังคมว่า เหตุใดเป็นคนมีฐานะแล้วยังได้รับบัตร

 

สรรพากรมอบของขวัญปีใหม่แก่ ผู้ถือบัตรคนจน ให้แล้วให้เลย ไม่ต้องรีบกด

สรรพากรมอบของขวัญปีใหม่แก่ ผู้ถือบัตรคนจน ให้แล้วให้เลย ไม่ต้องรีบกด

 

ดังนั้นหากในอนาคตมีการลงทะเบียนรอบใหม่ในปี 2562 ต้องแก้ปัญหานี้เป็นอย่างแรก ต้องพิจารณาคุณสมบัติจากฐานะครัวเรือนและตัวบุคคลควบคู่กันไป เพราะจะเป็นการเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกต้องสอดคล้องกับสิ่งที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ทำ คือ ลงทะเบียนเป็นครอบครัวเป็น GPS Map ในบ้าน 
 
"จะเน้นทั้งให้ผู้ถือบัตรมีรายได้เพิ่มจากปีละ 3 หมื่นบาท และมากกว่า 1 แสนบาทต่อปี ซึ่งยังไม่เห็นตัวเลขว่าออกมาอย่างไร แต่ที่ยํ้ามาก คือ ผู้ที่มีรายได้ตํ่ากว่า 3 หมื่นบาท ต้องทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น อาจจะยังไม่พ้น 1 แสนบาทต่อปีก็ไม่เป็นไร แต่ต้องทำให้รายได้เพิ่มขึ้น เพราะ 3 หมื่นบาทต่อปี ตํ่ากว่าเส้นความยากจน" นายอภิศักดิ์ กล่าว
 

ทั้งนี้ทางรัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้ลงทะเบียนคือค่าไฟฟ้าไม่เกิน 230 บาท/ครัวเรือน/เดือน และค่าน้ำประปา 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน รวมถึงมาตรการเติมเงินให้กับผู้ถือบัตร 14.5 ล้านคน คนละ 500 บาท เพียงครั้งเดียว โดยจะเติมเงินให้ระหว่างเดือน ธ.ค. 2561 - ม.ค. 2562 สำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 3.5 ล้านคน จะช่วยเหลือค่าเดินทางไปโรงพยาบาล คนละ 1,000 บาท พร้อมกับมาตรการสนับสนุนค่าเช่าบ้านผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 400 บาทต่อเดือน ให้ตั้งแต่ ธ.ค. 2561-ก.ย. 2562 จำนวน 2.3 แสนคน