ชะตาเสมียน "บุญทรง" ผู้ถูกหลอกให้ติดคุก กรรมของคนรับใช้ระบอบทักษิณ ที่หนีเสวยสุขเอาตัวรอด

เบื้องหลังคุก 42 ปีของอดีตเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ !! "บุญทรง" กระอักถูกหลอกเข้าฉากวันตัดสิน "คดีจีทูเจี๊ยะ" บางคนว่า เรื่องนี้หวังผลให้ "การหนีของยิ่งลักษณ์" ดูสมจริงแบบหลอกคนไทยทั้งประเทศ แถมวินาทีที่ศาลอ่านพิพากษาเขายังเชื่อ-ตัวเองจะรอด เหมือนที่เคยบอกใครต่อใครมาก่อนหน้านั้น ก่อนจะพบความจริงอันโหดร้ายจากสิ่งที่ตัวเองร่วมกระทำทุจริต และเป็นหนึ่งในตัวละครแห่ง "มหากาพย์การโกง" ในครั้งนี้ แบบต่อให้ตาย "กูก็พูดไม่ได้"

 

ชะตาเสมียน "บุญทรง" ผู้ถูกหลอกให้ติดคุก กรรมของคนรับใช้ระบอบทักษิณ ที่หนีเสวยสุขเอาตัวรอด

 


หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาคดีขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ที่มี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล รมช. พาณิชย์ รวมถึงข้าราชการระดับสูงของกระทรวง พาณิชย์ และเอกชนในเครือข่ายระบอบทักษิณรวม 28 ราย ซึ่งถูกอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เข้าข่ายกระทำผิด มาตรา 157 และฐานใช้อำนาจทุจริตสร้างความเสียหาย เข้าข่ายกระทำผิด มาตรา 151 ตามประมวลกฎหมายอาญา และกระทำผิด พ.ร.บ.ฮั้วประมูล และพ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2542

 

และผลของคำพิพากษาก็อย่างที่สื่อทุกสำนักรายงานไปแล้วว่า ศาลสั่งจำคุกนายบุญทรง 42 ปี ขณะที่นายภูมิ สาระผล จำคุก 36 ปี และ พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง วัจนะพุกกะ อดีตผู้ช่วยเลขานุการ และอดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3 ของคดีนี้ ซึ่งก็คือผู้จัดแจงเรื่อง "โกงข้าวจีทูเจี๊ยะทั้งหมด" ได้หนีคดีนี้ไปตั้งแต่แรก และศาลได้ออกหมายจับ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวแล้ว 

 

มีคำถามตามมามากมายว่า เมื่อหมอโด่งหนีไปแล้ว เหตุใดบุญทรง ซึ่งก็เสี่ยงคุกเต็มทีสำหรับคดีนี้ เพราะเป็นถึงเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวเนื่องกับคดีโดยตรง ทำไมยังคงอยู่ไม่หนีตามไปด้วย มีผู้พยายามหาเหตุผลอธิบายปรากฎการณ์นี้ โดยมองว่า หากไม่นับการถูกหลอก (ซึ่งหลายคนก็วิเคราะห์ไปทางนั้น) ให้มาหน้าศาลในวันที่ตัดสินคดี เพื่อประกอบฉากให้การหนีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดูสมจริงยิ่งขึ้น โดยมีตัวเขาและพวกเป็นแค่ตัวประกอบฉาก ทำนองส่งลูกน้องไปแนวหน้า...แล้วตัวเองก็สับขาหลอก เพื่อเอาตัวเองรอด ซึ่งนับว่าอำมหิตมาก น่าจะมีสัญญาณบางอย่าง (ซึ่งก็คือการหลอกอีกนั่นแหล่ะ) ว่าคดีนี้ เขาจะรอด

 

โดยบุญทรงเชื่อว่า "คดีนี้เขาจะรอด" เพราะก่อนหน้าก็มีกระแสข่าวแว่ว ๆ มาเช่นนั้น โดยเขาเชื่อว่า เพราะมีคนจัดการให้แล้ว (ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง) อีกทั้งบุญทรงเอง ก็ถึงกับเคยระบุก่อนหน้าวันที่ 25 ส.ค. ก่อนศาลจะตัดสินคดีว่า "สู้กันมาขนาดนี้ ไม่หนีไปไหนหรอก วันที่ 25 ส.ค. นี้ไปตามที่ศาลนัดแน่ เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัว ทั้งยังมองว่า ตนไม่ได้ทำอะไรผิดตามที่ถูกฟ้องนั่นเลย" เขายืนยันความบริสุทธิ์เช่นนั้น...ดังนั้น เขาจึงคิดว่า...ยังไงตัวเองก็ต้องรอด...ดังที่กล่าวข้างต้น 
สอดคล้องกับคำพูดของ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ พรรคเพื่อไทย และเป็นคนสนิทนายบุญทรง ที่ออกมาระบุล่าสุดวันนี้ว่า นายบุญทรงค่อนข้างเครียด เพราะท่านก็ไม่ได้เตรียมใจว่า จะพบเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งก่อนวันตัดสินนายบุญทรงไม่ได้พูดอะไร แต่ก่อนหน้าท่านเชื่อ และมีความมั่นใจว่าจะไม่ถูกลงโทษ

 

ชะตาเสมียน "บุญทรง" ผู้ถูกหลอกให้ติดคุก กรรมของคนรับใช้ระบอบทักษิณ ที่หนีเสวยสุขเอาตัวรอด  

 
 

อย่างไรก็ตาม ล่วงเข้ามาจนถึงขณะนี้ เมื่อย้อนกลับไปอ่านคำพิพากษาของศาล ก็แทบจะไร้ข้อสงสัยเลยว่า เหตุใดบุญทรง และพวกจึงโดนโทษหนักเช่นนั้น เพราะศาลก็ชำแหละให้ดูแล้วว่า คดีนี้มีการทุจริตอย่างมโหฬารแค่ไหน และตัวเขาอยู่ตรงไหนของ กระบวนการอันชั่วร้ายต่อบ้านเมืองในครั้งนั้ และคงทำให้นายบุญทรง ค้นพบความจริงบางอย่างว่า ที่เชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์นั้น เป็นแค่การถูกทำให้เชื่อในทางการเมืองตามที่คนอื่น ซึ่งอยู่เหนือกว่าเขา (อ่านโพสต์ที่สุรนันทน์เขียนถึงบุญทรงจะพบความจริงข้อนี้) ต้องการให้เชื่อเท่านั้น ขณะเดียวกันคงทำให้เขาตระหนักถึงความอำมหิตของใครบางคนต่อกรณีนี้ ที่หลอกเขาจนวินาทีสุดท้าย และทำให้ชีวิตถึงกับอับปางในคุกถึง 42 ปี

 

อย่างไรก็ตาม ผ่านมาเกือบ 2 ปี สำหรับวิบากกรรมของ "เสี่ยฮุก" หรือ "บุญทรง" ที่โดนหลอกให้ติดคุกเพราะเลือกที่จะยอมก้มหัวรับใช้ระบอบทักษิณ ? หากย้อนไปกลับไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ปีที่แล้ว (2560) นับเป็นอีกหนึ่งวันประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษา2คดีดัง “ทุจริตจำนำข้าว” คดีแรกเป็น ศาลฯนัดฟังคำพิพากษาคดีดำเลขที่ อม.22/2558 ระหว่างอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542

 

แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายปรากฏว่า "น.ส.ยิ่งลักษณ์" กลับเลือกที่จากทรยศมวลชนคนเสื้อแดง ทิ้งลูกน้อง โดยการทำให้เชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะสู้คดี จะไม่หนีไปไหน แต่สุดท้ายกลับเตรียมการวางแผนเป็นอย่างดี หลอกได้แม้กระทั้งพรรคพวกตัวเอง โดยอ้างว่าเกิดอาการ “น้ำในหูไม่เท่ากัน” จนกลายเป็นคำฮิตติดปาก ในช่วงนั้น

 

ชะตาเสมียน "บุญทรง" ผู้ถูกหลอกให้ติดคุก กรรมของคนรับใช้ระบอบทักษิณ ที่หนีเสวยสุขเอาตัวรอด

 
และคดีที่2 กรณีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ต่อมาเมื่อเวลา15.30.น.ขณะที่ ศาลฯ ได้มีการอ่านคำพิพากษาคดีที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ประดิษฐ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมพวก ทั้งข้าราชการประจำ นักการเมือง เอกชน ตกเป็นจำเลย ทั้งนี้ ศาลอ่านคำพิพากษาจำคุกนายบุญทรง 42 ปี และชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 16,000 ล้านบาทจากนั้นในเวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ได้นำตัว นายบุญทรง ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยนายบุญทรงมีอาการเครียดจากการประกันตัว และมีโรคประจำตัวอย่าง ภูมิแพ้ ความดันโลหิตสูง

 

เกือบ 2 ปีแล้ว สำหรับการทุกข์ระทมในเรือนจำ สิ่งที่ทำให้นายบุญทรงต้องไปเช่นนั้น นอกเหนือจากการทรยศ หักหลัง แล้วยังมีความอึดอัดบอกกับ “สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" ว่า “กูพูดไม่ได้” ย้อนกลับไปอ่านอย่างละเอียด สำหรับข้อความที่คุนายสุรนันท์โพสต์ถึงนายบุญทรง

 

ประเด็นแรกที่อยากให้จับประเด็นคือนายสุรนันท์บอกว่าวันหนึ่งนายสุรนันท์ในฐานะเลขาธิการนายกรัฐมนตรีก็แวะไปคุยกับนายบุญทรงเจอแฟ้มเต็มโต๊ะก็เลยพลิกดูแล้วถามว่าใครดูให้แต่ละเรื่องน่ากลัว นายสุรนันท์กลัวอะไรถึงบอกว่าเรื่องที่น่ากลัว ...หรือ กลัวเพราะมีอะไรลับลมคมในซับซ้อนหรือเปล่า เพราะถ้าเรื่องปกติธรรมดาบริหารราชการแผ่นดินก็ทำไปไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว ขณะที่บุญทรงตอบว่า “กูมีทีม”  ก็แสดงว่านายบุญทรงก็ต้องคิดอยู่แล้วเหมือนกัน คำว่ามีทีมก็คงจะตรวจสอบแต่ไม่เพียงเท่านั้น

 

 
นายสุรนันท์ก็เขียนต่อไปอีกว่า "แต่เวลาคุณยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศบางทีคุยกัน นายสุรนันท์บอกว่าคุณบุญทรงมีแววตาที่มีความกังวล" ...คำถามต่อไปนายบุญทรงกังวล กังวลเรื่องอะไร? นายสุรนันท์ก็บอกต่อว่า "ในช่วงวิกฤตมีงานหลายด้านแต่ไม่วายห่วงเพื่อน ส่งเรื่องจากทำเนียบก็เคยเตือนว่าเลือกไปแล้วให้รีบจัดการ เราเป็นเพียงเสมียน ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมด แต่รู้สึกเสมอว่าเพื่อนไม่สบายใจ" และสำหรับคำว่า “เสมียน” เป็นพนักงานทำเอกสารปกติธรรมดาคนหนึ่ง แต่ขณะนั้นนายบุญทรงมี ตำแหน่งรัฐมนตรีมีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ในกระทรวงนั้นคนสำคัญในพรรคเพื่อไทยเอง การที่นายสุรนันท์ออกมาบอกว่าเพื่อนเขาที่ชื่อ”บุญทรง”ที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์เป็นแค่เสมียน และรู้ได้อีกว่าเพื่อนไม่สบายใจ ก็แสดงว่ามีคนบงการ มีคนที่ใหญ่กว่า “เสมียน”บุญทรง

 

ชะตาเสมียน "บุญทรง" ผู้ถูกหลอกให้ติดคุก กรรมของคนรับใช้ระบอบทักษิณ ที่หนีเสวยสุขเอาตัวรอด
 

 
ยังไม่จบสำหรับจดหมายของนายสุรนันท์ต้องถอดให้ละเอียด.. "หลังพายุพัดผ่าน นั่งจิบไวน์คุยกันสองคน ผมถามมึงเล่าให้กูฟังหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไง ผมนับถือน้ำใจมันที่ตอบ กูพูดไม่ได้ เราร่ำสุราจนดึกแล้วไม่แตะเรื่องนั้นอีกเลย ทางการเมืองบางเรื่องต้องตายไปกับเรา พูดไม่ได้ ผมเข้าใจดีและผมเห็นใจเพื่อน..." ประโยคนี้สำคัญ "เห็นใจเพื่อนที่เข้าไปติดกับเงื่อนไขนั้น ขณะนี้เงื่อนไขดังกล่าวยังคงเป็นปริศนา 

ทั้งนี้ นายสุรนันท์บอกตัวเองโชคดีที่ไม่ไปติดกับเงื่อนไข แต่นายบุญทรงไม่โชคดีเท่าจึงต้องติดคุก ก็เพราะเรื่องการทุจริตเพราะฉะนั้นในการทุจริตโครงการจำนำข้าวตามศาลพิพากษาคดีจีทูจีแสดงว่านายบุญทรงไม่ได้เป็นคนได้ประโยชน์หรืออาจจะได้ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวเพราะเป็นแค่เสมียน เสมียนควรจะได้กินของดี ๆ หรือ? เสมียนคงจะได้ของใหญ่ ๆ หรือ? ก็ต้องมีคนกินอยู่แต่เราไม่รู้ เจ็บปวดตัวเองถูกใช้ในฐานะเสมียน ...


  เรื่องนี้ตอกชัดขึ้นไปอีก เมื่อ 24 พฤศจิกายน 61 ที่ผ่านมา  "นายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์" บุตรชายของ "บุญทรง" เดินทางเข้าร่วมสมัครเป็นสมาชิก"พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)" พร้อมเปิดใจทั้งน้ำตาถึงเหตุผลการลาออกจาก"พรรคเพื่อไทย"ว่า "ก็อย่างที่ทุกคนทราบและเห็นในข่าว ได้ถูกโจมตีเสียๆ หายๆ จากฝั่งทนายของอดีตนายกฯ ซึ่งตนมองว่าบทบาททางการเมืองของพ่อตนได้จบไปตั้งแต่วันที่ศาลตัดสินจำคุก ตลอดระยะเวลาที่ท่านติดคุกไม่เคยมีข่าวว่าท่านออกมาเลย "พอมาถึงเวลาที่ท่านเจ็บป่วยและได้รับการรักษา ก็ดันไปเอาข่าวท่านไปเชื่อมโยงกับคดีต่างๆ นานา ซึ่งส่งผลกระทบต่อท่านที่ต้องรับการรักษาตัว ถึงขั้นมีการพูดว่ามีการดีลวงในหรือเปล่า? ทำให้คนอื่นที่ได้รับข่าวไม่อยากมาช่วย และเป็นการมองว่าป่วยจริงหรือไม่

 

ชะตาเสมียน "บุญทรง" ผู้ถูกหลอกให้ติดคุก กรรมของคนรับใช้ระบอบทักษิณ ที่หนีเสวยสุขเอาตัวรอด

 

เพราะเอาไปผูกกับเรื่องการเมืองไปหมด และเมื่อมีความไม่ไว้วางใจเกิดขึ้นภายในพรรคเพื่อไทยเอง เกรงว่าการเดินหน้าในทางการเมืองจะมีปัญหา ตนนั่งคิดอยู่นาน และตัดสินใจว่าถอยออกมาก้าวหนึ่งดีกว่า ที่ตัดสินใจลาออกก็ยังไม่ได้คิดว่าจะเดินข้างหน้าไปทางไหน หรือจะย้ายไปพรรคไหนต่อ จึงไปลาออกเพื่อความสบายใจของตัวเอง ของทางพรรค และของคุณพ่อ ทางพรรคเพื่อไทยจะได้เดินหน้าอย่างเต็มที่ จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง

 

 "นายเดชนัฐวิทย์" ยังกล่าวอีกว่า "ระหว่างที่ออกมาได้ปรึกษากับคุณพ่อว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิตการเมือง ซึ่งจุดประสงค์ของตนและครอบครัวคือรักษาอาการป่วยของพ่อให้หายดี  "การที่คุณพ่อเป็นอยู่ทุกวันนี้ คงไม่ต้องตอบก็คงทราบว่าเป็นเพราะอะไร ทุกวันนี้พอเราต้องการความช่วยเหลือ ดันมาขี่ซ้ำ ผมก็ถามพ่อว่าเราจะเอาอย่างไรกันดี ถ้าอยู่มันโหดร้าย ให้ผมทำการเมืองไหม พ่อให้ที่เหลือจากนี้เป็นการตัดสินใจของผมล้วนๆ ท่านบอกว่าชีวิตการเมืองของท่านจบไปแล้ว ต่อไปให้เป็นเรื่องของลูกตัดสินใจเอง" 


ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวแจ้งว่า "นายบุญทรง" ถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจ อีกครั้ง เมื่อเที่ยงของวันที่ 18 ธันวาคม เพื่อทำการผ่าตัดอาการป่วยด้วยโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน หลังก่อนหน้านี้ได้มีการตรวจอาการไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้รับการผ่าตัด เนื่องจากนายบุญทรง มีอาการป่วยเป็นโรคไซนัสร่วมอยู่ด้วย ทำให้ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ เนื่องจากกลัวว่าจะได้รับอันตราย เพราะอาการแทรกซ้อน

 
นอกจากนี้ รายงานข่าวระบุด้วยว่า ขณะนี้ "นายบุญทรง" ถูกนำตัวมานอนพักรักษาอยู่ที่ชั้น 9 ของโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อรอทำการผ่าตัดในวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา ทั้งยังระบุด้วยว่า  อาการโดยรวมของ "นายบุญทรง" ขณะนี้ถือว่าหนักเอาการ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ช่วงที่นายบุญทรงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน แต่ไม่ได้รับการผ่าตัด เนื่องจากมีโรคไซนัสแทรกดังกล่าว จึงถูกนำตัวกลับไปที่เรือนจำอีกครั้ง พร้อม ๆ กับที่มีกระแสข่าวว่า ช่วงนั้นนายบุญทรงอาจยอมซัดทอดใครบางคนในคดีทุจริตจำนำข้างล็อต 2 แล้ว ก่อนที่จะถูกหามส่งโรงพยาบาลตำรวจอีกครั้งเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมา  ... 

 

ชะตาเสมียน "บุญทรง" ผู้ถูกหลอกให้ติดคุก กรรมของคนรับใช้ระบอบทักษิณ ที่หนีเสวยสุขเอาตัวรอด