จำคุก 20 ปี "พรชนก"-"สมชาย"คุกตลอดชีวิต คดีฆ่าหั่นศพครูสอนภาษาชาวญี่ปุ่น

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.Tnews.co.th

ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต "สมชาย แก้วบางยาง" สั่งจำคุก "พรชนก ไชยะปะ" 20 ปี คดีฆ่า-หั่น-ซ่อนเร้นศพครูสอนภาษาญี่ปุ่นและลักบัตรเอทีเอ็มเบิกเงินสดกว่า 7.2 แสนบาท
       

วันนี้ (14 ม.ค.)  ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก   ศาลนัดพิพากษาคดีฆ่าหั่นศพครูสอนภาษาชาวญี่ปุ่น หมายเลขดำ อ.4330/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์  ยื่นฟ้อง นายสมชาย แก้วบางยาง อายุ 49 ปี  และนางพรชนก ไชยะปะ อายุ 49 ปี ทั้งคู่เป็นสามีภรรยา ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา หน่วงเหนี่ยวกักขัง ซ่อนเร้นทำลายศพเพื่อปิดบังการตาย  ลักทรัพย์ในเวลาเคหะสถานในเวลากลางคืน มีไว้เพื่อนำออก และใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่น กรณีเมื่อวันที่ 21 ก.ย. - 13 ต.ค.57 จำเลยทั้งสอง ร่วมกันวางแผนใช้อาวุธมีดปลายแหลมยาวแทงและฟัน นายโยชิโนริ ชิมาโตะ (YOSHINORI SHIMATO) ครูสอนภาษาญี่ปุ่น อายุ 79 ปี ซึ่งมีอาการป่วยนอนอยู่บนเตียงภายในบ้าน จ.สมุทรปราการ แล้วจับศีรษะ กดกับหมอนจนขาดใจตาย ก่อนหั่นชำแหละชิ้นส่วนอวัยวะเป็นชิ้นๆ ใส่ถุงถ่วงด้วยทรายนำไปทิ้งที่ คลองนางทิ้ง หมู่ 7 ที่ตำบลและอำเภอบางบ่อ จ.สมุทรปราการ แล้ว จำเลยร่วมกันเอาทรัพย์สินรวม 41,500 บาทของผู้ตายไป และยังใช้บัตรธนาคารต่าง ๆ กดเอาเงินสดของผู้ตายไปอีกรวม 520,000 บาท โดยอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลย เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.57
       
      
นายสมชายจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าฆ่าผู้ตายจนถึงแก่ความตายจริง  แต่ไม่ได้ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และรับสารภาพข้อหาซ่อนเร้นทำลายศพเพื่อปิดบังสาเหตุการตาย ข้อหาลักทรัพย์ เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าสะพาย สมุดเงินฝากธนาคาร กระเป๋าเงินแบบหนัง เงินสด 3,000 บาท และทรัพย์สินอื่น รวม 45,390 บาทส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ และนางพรชนก จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหาใช้บัตรเอทีเอ็ม ชนิดบัตรเดบิต ธ.กรุงเทพฯ สำนักงานใหญ่ สีลม ของผู้ตายไปใช้เพื่อประโยชน์ของการชำระสินค้า หรือเบิกเงินสด โดยจำเลยที่ 2 เลือกใช้บัตรเบิกถอนเงินสดผู้ตาย 15 ครั้ง รวมเป็นเงิน 7.2 แสนบาท ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
       
      
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่า นายเท็ตซูโอะ ชิมาโต บุตรของนายโยชิโนริ ผู้ตาย ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เมื่อวันที่ 14 ต.ค.57 ว่าไม่สามารถติดต่อกับบิดาทางโทรศัพท์มือถือระหว่างพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ จากนั้นนายเท็ตซูโอะ ได้พาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังห้องพักประจำของบิดา ที่อาคารศรีวรา แมนชั่น ชั้น 10 ห้อง 180 เขตห้วยขวาง แล้วพบนางพรชนก จำเลยที่ 2 อยู่ภายในห้อง ซึ่งการตรวจค้นพบ บัตรเอทีเอ็มของผู้ตายอยู่ในกระเป๋าจำเลยที่ 2 และการตรวจค้นรถกระบะอีซูซุของจำเลยที่ 2 พบโทรศัพท์มือถือที่มีซิมการ์ด ของผู้ตายอยู่ในรถกระบะจำเลยที่ 2 ด้วย  และข้อเท็จจริงยังฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองอยู่กินฉันสามีภรรยาตั้งแต่ปี 2530

กระบะพานายโยชิโนริ ไปพบแพทย์ที่ รพ.บางนา 2 เนื่องจากมีอาการ แขนขาอ่อนแรง ซึ่งแพทย์มีความเห็นว่าควรนอนพักรักษาที่ โรงพยาบาล แต่จำเลยที่ 2 แจ้งว่าค่าใช้จ่ายสูงเกินไป จากนั้นเวลา 17.00 น. จำเลยที่ 2 จึงขับรถยนต์พานายโยชิโนริ ออกจากโรงพยาบาลไปยังบ้านพักของจำเลยที่ 2 ในหมู่บ้านออคิด วิลล่า ม.7 ตำบล - อำเภอ บางเสาธง จ.สมุทรปราการ จึงลงมือฆ่าจนถึงแก่ความตายขณะอยู่ในบ้านดังกล่าว จากนั้นนายสมชายจำเลยที่ 1 ได้ชำแหละศพผู้ตาย ตัดอวัยวะต่างๆ ออกเป็นชิ้น แล้วใส่ในอ่างอาบน้ำชั้นบนของบ้าน กระทั่งกลางคืนของวันที่ 21 ก.ย. 57 จำเลยที่ 1 ได้นำชิ้นส่วนศพผู้ตายใส่ถุงปุ๋ย และถุงขยะพลาสติก สีดำ นำไปทิ้งใน คลองนางทิ้ม ตำบล - อำเภอ บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยวันที่ 21 - 22 ต.ค. 57 เจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำ กองบังคับการตำรวจน้ำ ได้ตรวจพบถุงปุ๋ย และถุงขยะ สีดำ ที่มีชิ้นส่วนศพผู้ตายอยู่ตามคำรับของจำเลยที่ 1 และเมื่อตรวจพิสูจน์หาสารพันธุกรรม หรือ DNA ก็เชื่อว่าเป็นผู้ตาย

       
      
ศาลเห็นว่า คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งว่า นายสมชาย จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายด้วยการใช้อาวุธมีดปลายแหลม แทงและฟันผู้ตาย แล้วใช้หมอนกดศีรษะทำให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจ  โดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องจริงหรือไม่  ซึ่งคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนก็ยังสับสนและไม่สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของนางพรชนก จำเลยที่ 2  โดยศาลพิเคราะห์พฤติการณ์คดีโดยรวมแล้วต้องถือว่าคำให้การในชั้นสอบสวนเพิ่มเติมของนายสมชาย จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 57 เป็นข้อเท็จจริงที่สมเหตุ สมผล น่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้มากที่สุดเพราะสอดคล้องกับวันเวลาและสถานที่อยู่ของผู้ตาย กับจำเลยทั้งสอง ตามข้อมูลการใช้โทรศัพท์ จนเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย น่าจะเกิดจากความหึงหวง นางพรชนก จำเลยที่ 2 ที่คบหา และติดต่อผู้ตายบ่อยครั้งก่อนเกิดเหตุ  ตลอดจนผู้ตาย กับจำเลยที่ 2 มีเพศสัมพันธ์ที่บ้านเกิดเหตุมาโดยตลอด  นอกจากนี้จำเลยที่ 2 เคยเล่าให้จำเลยที่ 1 ฟังว่าช่วงมีเพศสัมพันธ์ผู้ตายจะทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 บ่อยครั้ง  จึงอาจทำให้จำเลยที่ 1 โกรธผู้ตาย หรืออาจจะมาจากสาเหตุที่ผู้ตายทราบแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีของจำเลยที่ 2 จนทำให้ก่อนเกิดเหตุผู้ตายมีปากเสียงกับจำเลยที่ 2 บ่อยครั้ง
       
      
สำหรับการชำแหละศพผู้ตายก็เชื่อว่า เกิดขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว โดยเป็นการกระทำเพื่อปกปิดความผิดของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ซึ่งพฤติการณ์ชำแหละศพแม้จำเลยที่ 1 ใช้มีดไล่ตัดเซาะอวัยวะทั้งหมด กรณีต้องถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำต่อศพของผู้ตายอย่างตั้งใจ โหดเหี้ยม และทารุณ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่เลือดเย็นและโหดร้ายของจำเลยที่ 1  แต่ไม่อาจถือเอาพฤติการณ์ดังกล่าวมาเป็นเรื่องการวางแผนฆ่าผู้ตายโดยคิดไตร่ตรอง ทบทวนแล้วจึงตกลงใจฆ่าผู้ตายหรือกระทำโดยทารุณโหดร้าย  เนื่องจากการชำแหละศพเกิดขึ้นหลังจากฆ่าผู้ตายแล้ว  และเชื่อว่าการที่จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายไม่ได้เป็นการฆ่าเพื่อหวังทรัพย์สินเป็นหลัก  เนื่องจากข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ว่า หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นำทรัพย์สิน  สิ่งของส่วนตัวของผู้ตายที่อยู่ในบ้าน ที่เกิดเหตุไปทิ้ง ส่วนเอกสารของผู้ตายนำไปเผาทำลายพยานหลักฐาน  ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายลักษณะปัจจุบันทันด่วน โดยมีสาเหตุจากความหึงหวง

ดังนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 288 แต่ไม่ใช่การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน  แต่ในส่วนของนางพรชนก จำเลยที่ 2  โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้ศาลเห็นโดยชัดแจ้งว่า อยู่ร่วมกันในบ้านที่เกิดเหตุ แล้วร่วมกันฆ่าผู้ตาย  ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ยังมีความสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.227 วรรค 2 ส่วนข้อหาร่วมกันซ่อนเร้นหรือทำลายศพ ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองให้การชั้นสอบสวนและนำสืบในชั้นพิจารณาสอดคล้องตรงกันว่า  หลังจากจำเลยที่ 1 ชำแหละศพผู้ตายแล้วนำขึ้นรถกระบะของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับและจำเลยที่ 2 นั่งไปด้วยกัน  ซึ่งจำเลยที่ 2 ทราบเหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกฆ่าและการชำแหละศพในบ้านที่เกิดเหตุแล้ว  ดังนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาต้องถือว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ซ่อนเร้นศพผู้ตาย
       
      
สำหรับทรัพย์สินของผู้ตาย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางพรชนก จำเลยที่ 2 ใช้บัตรเอทีเอ็มของผู้ตายไปเบิกถอนเงินสด 15 ครั้งรวมเป็นเงิน 7.2 แสนบาท ระหว่างวันที่ 28 - 30 ก.ย. และวันที่ 1 - 3 และ 5 - 13 ต.ค. 57  ดังนั้นจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานมีและนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ตายไปใช้ ในส่วนของนายสมชาย จำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  ความผิดในข้อหาลักทรัพย์ และเอาเอกสารของผู้ตายไปเผาทำลาย หลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว  มีเฉพาะเงินสด 3,000 บาทเท่านั้นที่ เก็บไว้ใช้ตามที่จำเลยที่ 1 นำสืบ
       
      
ส่วนข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายไว้ที่บ้านพักของจำเลยที่ 2 ในหมู่บ้านออคิด วิลล่า เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยัน โดยชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายก่อนที่จะลงมือฆ่า  เมื่อศาลวินิจฉัยแล้วเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายลักษณะปัจจุบันทันด่วน โดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน ประกอบกับฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุ 2 วัน ผู้ตายเคยเดินทางไปพักบ้านที่เกิดเหตุโดยลำพัง และเป็นอิสระ ดังนั้นพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้ตาย
       
      
จึงพิพากษาให้ประหารชีวิตนายสมชาย จำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , จำคุก 1 ปีฐานร่วมกันซ่อนเร้าทำลายศพฯ และจำคุก 2 กระทงละ 2 ปีรวม 4 ปี ฐานลักทรัพย์และเอาไปซึ่งเอกสาร ตามมาตรา 334 รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้จำคุก 1 ปี ฐานซ่อนเร้นทำลายศพปี ,จำคุก 2 ปี ฐานลักบัตรอิเล็กทรอนิกส์ฯ และ จำคุก 15 กระทงๆ ละ 3 ปี รวม 45 ปี ฐานลักบัตรอิเล็กทรอนิกส์ฯ
       
      
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพมีเหตุควรลดโทษให้เฉพาะข้อหาที่รับสารภาพ กระทงละกึ่งนึ่ง จึงให้จำคุกตลอดชีวิต นายสมชาย จำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นฯ , จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันซ่อนเร้นทำลายศพฯ และจำคุก 2 ปี ฐานลักทรัพย์และเอาไปซึ่งเอกสาร แต่เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วไม่อาจรวมโทษจำคุกกระทงอื่นได้อีก  จึงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต  ส่วนนางพรชนก จำเลยที่ 2 ให้จำคุก 1 ปี ฐานลักบัตรอิเล็กทรอนิกส์ และฐานมีและใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งของผู้อื่นโดยมิชอบ ให้จำคุก 22 ปี 6 เดือน ส่วนข้อหาซ่อนเร้นทำลายศพคงจำคุก 1 ปี รวม จำคุกทั้งสิ้น 24 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำเลยที่ 2 ทุกกระทงความผิดแล้วตามกฎหมายให้จำคุกสูงสุด เป็นเวลา 20 ปี ให้นายสมชาย จำเลยที่ 1 คืนเงินที่ลักไปทรัพย์รวม 45,390 บาท และนางพรชนก จำเลยที่ 2 คืนเงิน 7.2 แสนบาท ให้นายเท็ตซูโอะ บุตรชายของผู้ตาย ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
       
      
ภายหลัง นายนิติรัฐ วังออมทรัพย์ ทนายความของนายสมาชย จำเลยที่ 1 กล่าวว่า  ศาลไม่ได้ลงโทษในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาไว้ก่อน  ซึ่งเป็นข้อหาหนัก และศาลยังได้ลดโทษให้กึ่งหนึ่งจากโทษประหารชีวิตก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล  จึงค่อนข้างพอใจกับผลคำพิพากษาในวันนี้  ส่วนจะอุทธรณ์คดีหรือไม่นั้น  จะต้องศึกษาสำนวนและปรึกษาจำเลยที่ 1 อีกครั้งว่าพอใจผลคำพิพากษาในข้อหาใดบ้าง
       
      
ด้านนายอนุสร รุ่งเรือง  ทนายความของนางพรชนก จำเลยที่ 2 กล่าวว่า  จำเลยได้รับสารภาพในข้อหาใช้บัตรเอทีเอ็มของผู้ตายตั้งแต่แรก  ผลคำพิพากษาของศาลที่ออกมาในครั้งนี้จึงพอใจแล้ว  และจำเลยที่ 2 จะไม่อุทธรณ์คดี  หลังจากนี้จะทำเรื่องขออภัยโทษ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทางพนักงานอัยการจะอุทธรณ์คดีในส่วนของจำเลยที่ 2