- 19 ม.ค. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
ดีเอสไอ เข้าตรวจสอบรถหรูวัดปากน้ำ ตามคำเชิญ "สมเด็จช่วง" คาดใช้เวลาตรวจสอบนาน 1 เดือน ด้านไวยาจักรมอบคู่มือจดทะเบียนรถ ระบุเพื่อความบริสุทธ์ใจ พร้อมยันหลักฐานทุกอย่างครบ
วันนี้ (19 ม.ค.) ที่วัดปากน้ำ ภาษ๊เจริญ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางไปที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พร้อมด้วย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รอง ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ เพื่อไปตรวจสอบรถยนต์โบราณของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) ตามคำเชิญของวัดปากน้ำที่ต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยมีนายดำเกิง จินดาหรา ไวยาวัจกรวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ร่วมตรวจสอบ พร้อมส่งมอบเอกสารสำคัญเกี่ยวกับรถยนต์คันดังกล่าว
พ.ต.ต.วรณันกล่าวว่า สืบเนื่องจากวัดต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ จึงเชิญดีเอสไอเข้าตรวจสอบสภาพรถยนต์เบื้องต้นว่าคงอยู่ในสภาพเดิมทั้งหมด พร้อมทั้งมอบเอกสารการจดทะเบียนรถและเอกสารชื่อผู้ครอบครองรถคันดังกล่าว ทั้งนี้ รถคันดังกล่าวเป็น 1 ใน 5,000 คันที่ดีเอสไอต้องตรวจสอบ แต่เมื่อช่วงปี 2558 หลวงพ่อพุทธะอิสระได้ยื่นหนังสือเพื่อเร่งรัดให้ตรวจสอบ 17 ประเด็น ซึ่ง 1 ใน 17 ประเด็นมีเรื่องของการตรวจสอบรถดังกล่าว โดยขั้นตอนหลังจากนี้คณะพนักงานสอบสวนจะตรวจสอบเอกสารของรถคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เนื่องจากต้องไล่ตรวจสอบกระบวนการนำเข้ารถกับกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตร ส่วนเรื่องการครอบครองรถเป็นอีกกรณีไป หากการตรวจสอบพบว่าปรากฏชื่อบุคคลใดก็จะเรียกตัวมาสอบถามเพิ่มเติม
นายดำเกิง กล่าวว่า ภายหลังตกเป็นข่าว สมเด็จพระมหามังคลาจารย์ เจ้าอาวาส ไม่ได้วิตกกังวล และพร้อมจะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ โดยให้นำเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้ ยืนยันรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีลูกศิษย์นำมาถวาย แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นผู้ใด ซึ่งทางวัดมีหลักฐานเอกสารที่มาของรถคันดังกล่าวอย่างครบถ้วน
นายดำเกิง ระบุว่า วัดมีเจตนาจะสะสมวัตถุโบราณเพื่อให้คนรุ่นหลังได้มาศึกษาเยี่ยมชมและได้เห็นรถเก่าแก่ ซึ่งรถที่กำลังอยู่ระหว่างถูกตรวจสอบเป็นรถยนต์เก่า ไม่ใช่รถหรูตามที่ถูกวิจารณ์ ยืนยันว่าสมเด็จฯได้มาจากการถวาย ไม่ได้ใช้เงินซื้อและเป็นรถจดประกอบ มีเอกสารยืนยันคือสมุดจดทะเบียนใช้รถยนต์กับกรมการขนส่งทางบกซึ่งได้มอบให้พนักงานสอบสวนนำไปตรวจสอบ สำหรับวัดคงรู้สึกอะไรไม่ได้ เพราะเป็นวัดต้องนิ่ง ประเด็นที่สำคัญขณะนี้คือถูกหรือผิด ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ข้อเท็จจริง เมื่อผลออกมาอย่างไรก็พร้อมยอมรับ สำหรับรถคันดังกล่าว ได้นำเข้ามาตั้งแต่ปี 2554 เพราะมีการเปิดฉลองเจดีย์ในปี 2555 ทางวัดจึงรวบรวมของโบราณมาแสดง รวมถึงรถยนต์คันดังกล่าวด้วย
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีเพราะทั้งสองฝ่ายต้องการให้มีการพิสูจน์ในขั้นตอนของกฎหมาย โดยเอกสารที่วัดมอบให้วันนี้ เป็นคู่มือจดทะเบียน เพื่อแสดงถึงที่มาของรถ เลขเครื่องยนต์ เลขตัวถัง และผู้ครอบครอง สำหรับดีเอสไอ จะตรวจสอบไปยังขั้นตอนการนำเข้าตั้งแต่กรมศุลกากร กรมสรรพาสามิต และกรมการขนส่งทางบก เบื้องต้นรถคันดังกล่าวสำแดงเป็นรถจดประกอบ ไม่ได้นำเข้าทั้งคัน แต่นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ แล้วนำมาประกอบขึ้นเป็นรถยนต์ โดยมีวิศวกรรับรองความมั่นคงแข็งแรงว่ารถที่จดประกอบ สามารถใช้งานได้
รายงานข่าวระบุว่า สำหรับรถเบนซ์ทะเบียน ขม 99 กทม. มีเลขตัวถัง 18601400420/53 ระบุชนิดเชื้อเพลิงเป็นแก๊ส เครื่องยนต์ 2995 ซีซี เลขเครื่องยนต์ 1869204500052 สีเหลือง จดทะเบียนนำเข้าเป็นรถจดประกอบจากชิ้นส่วนเก่าระหว่างปี 2554-2555 โดยเมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนดีเอสไอขอหมายค้น หจก.ซี.ที.ออโต้ พาร์ท ย่านสัมพันธวงศ์ ซึ่งเอกสารระบุว่าเป็นผู้จำหน่ายตัวถังรถคันดังกล่าว บจ.คาร์โก้ คาร์ จำกัด ย่านบางพลัด มีชื่อเป็นผู้จำหน่ายเครื่องยนต์ จากการตรวจสอบพบเป็นเพียงร้านขายอะไหล่มือสองและอุปกรณ์ประดับยนต์ของรถยุโรปทั่วไป หจก.เอช.ที.วาย ออโต้พาร์ท ย่านบางแค ซึ่งมีชื่อเป็นร้านประกอบรถยนต์ โดยมีสภาพปิดร้าง และ เอ็น.พี.การาจ ย่านภาษีเจริญ ซึ่งจดทะเบียนเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อประกอบรถยนต์ มีใบอนุญาตถูกต้อง แต่จากสภาพที่พบเป็นเพียงอู่ซ่อมสี ไม่มีอุปกรณ์สำหรับประกอบรถยนต์
ทั้งนี้ในส่วนเอกสารคู่มือจดทะเบียนรถที่วัดปากน้ำมอบให้ดีเอสไอนั้น ระบุว่าเป็นรถที่ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนอุปกรณ์รถเก่า เสียภาษีสรรพสามิตรถยนต์ให้กับสำนักงานสรรพสามิต พื้นที่กรุงเทพฯ 1 ต่อมาได้แจ้งไม่ขอใช้รถในปี 2556