คุมตัว"เดอะบิ๊ก"สอบปากคำเพิ่ม ก่อนนำตัวฝากขัง-ทนายยื่น 10 ล้านขอประกันตัว

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

เลขาฯ ปปง. สอบปากคำประธานสโมสรเพื่อนตำรวจ โยงโกงเงิน 2,100 ล้านบาท ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลอาญารัชดา ฝากขังผัดแรก ด้านทนายความยื่นหลักทรัพย์ 10 ล้านขอปล่อยตัวชั่วคราว
         

วันนี้ (19 ม.ค.)  ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)  เมื่อเวลา 09.00 น. พล.ต.ต.จารุวัฒน์ ไวศยะ รอง ผบช.น.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต และฝ่ายสืบสวน สน.ดุสิต ได้ควบคุมตัว นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือเดอะบิ๊ก อายุ 40 ปี ประธานสโมสรเพื่อนตำรวจ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 90/2559 ลงวันที่ 15 ม.ค.59 มาทำการสอบปากคำเพิ่มเติม กรณีเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ทำธุรกรามทางการเงินกับกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้กองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) จำนวน 2,100 บาท
         

มีรายงานแจ้งว่า ทีมทนายความและทีมงานนายสัมฤทธิ์ได้ออกมายืนยันข้อมูลด้วยว่า เมื่อคืนวันที่ 18 ม.ค.เวลาประมาณ 21.30 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบปากคำนายสัมฤทธิ์เสร็จสิ้น  ก่อนควบคุมตัวมาที่ห้องคุมขัง สน.ดุสิต  สักพักมีชายแปลกหน้านำอาหารมาให้  แต่ทางนายสัมฤทธิ์ไม่ได้รับประธานแต่อย่างใด จากนั้นเวลาประมาณ 22.30 น. มีชาย 3 คน อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน บก.น.1 นำตัวนายสัมฤทธิ์มาสอบปากคำเพิ่มเติมภายนอกที่คุมขัง  อยู่ในบริเวณ สน.ดุสิต  กระทั่งช่วงเวลาประมาณ 00.30 น. ของวันที่ 19 ม.ค.มีโทรศัพท์ลึกลับโทรเข้ามาจะขู่ฆ่านายสัมฤทธิ์ ถ้าเมื่อได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ 


อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามข้อมูลเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สน.ดุสิต ยืนยันว่า มีการควบคุมตัวผู้ต้องหาสอบปากคำเพิ่มเติมจริง รวมถึงทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำอาหารไป แต่ทางผู้ต้องหามีลักษณะท่าทางค่อนข้างเครียด ไม่รับทานอาหารที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดให้ แต่ก็ได้รับประธานอาหารของทางญาติ อาจเพราะมีความกังวล เนื่องจากตั้งแต่ถูกจับกุมมานอนไม่หลับมาแล้ว 3 วัน
         

ด้าน นายธราเทพ ยติกุลเกษม ทนายความ กล่าวว่า เบื้องต้นจะแถลงชี้แจงรายละเอียดต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับคดีความที่เกิดขึ้น และรายละเอียดของการสอบสวนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า นายสัมฤทธิ์ยังให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
         

พล.ต.ต.จารุวัฒน์ ไวศยะ  รอง ผบช.น.เปิดเผยว่า  เบื้องต้นยังอยู่ระหว่างการสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่มเติม  และฝ่ายสืบสวนได้นำหมายค้นเข้าตรวจสอบบ้านพักของนายสัมฤทธิ์ ย่านสุขุมวิทแล้ว  รวมทั้งเชิญเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มาร่วมตรวจสอบเส้นทางการเงิน  จำนวน 2,100 ล้านบาท  ซึ่งทางพนักงานสอบสวนต้องทำหน้าที่รวบรวมพยานทั้งหมด  เนื่องจากคดีการฉ้อโกงเงิน สกสค. มีรายละเอียดการกู้ยืมและสั่งจ่ายเงินคืนเป็นจำนวนมาก  ขณะเดียวกันทางเจ้าหน้าที่ ปปง. ได้นำเอกสารเกี่ยวกับคดีมามอบให้พนักงานสอบสวน เพื่อประกอบสำนวนและขยายผลเพิ่มเติม  ขณะนี้ทางฝ่ายผู้ต้องหา ได้รวบรวมพยานหลักฐานมาให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทั้งหมดแล้ว  ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ส่วนคำให้การเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การภาคเสธ  รับบางส่วนไม่รับบางส่วน  พนักงานสอบสวนจะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดอีกครั้ง      

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีทนายความและทีมงานของผู้ต้องหาให้ข้อมูลว่า ถูกข่มขู่ระหว่างการถูกควบคุมตัวที่ สน.ดุสิต  พล.ต.ต.จารุวัฒน์ กล่าวว่า หากมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นจริงทางทนายสามารถให้การเพิ่มเติมได้  โดยพนักงานสอบสวนจะทำการสอบปากคำไว้  หากมีการข่มขู่ผู้ต้องหาจริงจะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง  ส่วนที่จะมีการทำร้ายร่างกายตอนนำตัวไปคุมขังภายในเรือนจำนั้น เป็นไปไม่ได้  เพราะมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องดูแลเป็นอย่างดี
         

ต่อมาเวลา 11.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง.เดินทางมาที่ บช.น.ทำการตรวจสอบพยานหลักฐาน  และได้กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ในส่วนของ ปปง. ได้มีการดำเนินการไปบ้างแล้ว  แต่ขออนุญาตยังไม่ตอบคำถามในเรื่องนี้ ขอเวลาอีก 2 วัน จึงจะสามารถตอบได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการ    โดยในส่วนของ ปปง. จะดูเรื่องการตรวจสอบทรัพย์สิน และการประสานงานกับทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) หากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการ แต่ถ้า ปปง. ทราบก่อนก็จะดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ทันที


อย่างไรก็ตาม  หลังจากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่มเติมนานกว่า 3 ชั่วโมง จึงควบคุมตัวไปขออำนาจศาลอาญารัชดา ฝากขังผัดแรก โดยคัดค้านการประกันตัว


ด้านนายธราเทพ ยติกุลเกษม ทนายความ เปิดเผยว่า ได้ยื่นหลักทรัพย์มูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท  ยื่นขอประกันตัวชั่วคราว พร้อมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี หรือ ผู้มีอำนาจเกี่ยวข้อง  ให้ความเป็นธรรมเพราะนายสัมฤทธิ์ เคยโดนข่มขู่จากกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี และส่วนตัวมีข้อเท็จจริงซึ่งทำให้มั่นใจว่านายสัมฤทธิ์ไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา  ยอมรับว่าการถูกจับกุม จะส่งผลกระทบต่อการบริหารงานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ เนื่องจากฤดูกาลหน้าสโมสรเพื่อนตำรวจเพิ่งได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในศึกฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก