ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก"กำนันเซี๊ยะ" 3 ปีคดีบุกรุกที่ราชพัสดุ

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ศาลชั้นต้น จำคุก "กำนันเซี๊ย" 1 ปี เป็น 3 ปี  คดีบุกรุกที่ราชพัสดุ อ.ด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี และ อ.สวนผึ้ง ราชบุรี กว่า 1,000 ไร่  ชี้จำเลยเป็นอดีตกำนันย่อมรู้เรื่องที่ราชพัสดุเป็นอย่างดี-ออกหมายจับเหตุจำเลยไม่มาศาล
      

      
วันนี้ (25 ม.ค.)  ที่ห้องพิจารณาคดี 901 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก  ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.55/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายประชา โพธิพิพิธ หรือ กำนันเซี้ย อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน หรือก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ในที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต
      
      
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555  บรรยายความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อต้นปี 2533 ถึงวันที่ 25 มีนาคม 2547  เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน  จำเลยได้เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง เผาป่าปลูกพืชไร่ ให้บุคคลอื่นเช่าและใช้ประโยชน์ในที่ดินรวมจำนวน 299 ไร่ ในที่ดินราชพัสดุเลขทะเบียน กจ.209 หมู่ 12 ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี และที่ดินรวมจำนวน 900 ไร่ ในที่ดินราชพัสดุเลขทะเบียน กจ. 209 หมู่ 8 ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี  ซึ่งเป็นพื้นที่ต่อเนื่องติดต่อกันทั้งหมดรวมจำนวน 1,199 ไร่ โดยมิได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี และ ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี เกี่ยวพันกัน  ขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ และให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน
      
      
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2557   จำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี  โดยไม่รอการลงโทษ  ฐานกระทำผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 911 และ มาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง เข้าไปครองครองที่ดินของรัฐ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุและเป็นที่ดินเพื่อสาธารณประโยชน์  ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสู้คดี   และในวันนี้จำเลยไม่มาศาล จึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย
      
      
ศาลอุทธรณ์ปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า  พยานหลักฐานที่นำสืบฟังได้ว่าจำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทดังกล่าวแล้วไปสร้างบ้านพักอาศัย โดยมอบหมายให้คนงานเข้าไปดูแล  ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ยุติว่าจำเลยเป็นอดีตกำนัน  รวมทั้งมีประกาศเรื่องที่ดินติดไว้ที่หน้าที่ว่าการอำเภอ จำเลยย่อมรู้ดีว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุซึ่งเป็นที่ดินของรัฐเป็นอย่างดี     ส่วนทางนำสืบที่จำเลยอ้างว่าเมื่อปี 2534 จำเลยไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุอยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลังนั้นฟังไม่ขึ้น
      
      
ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยนั้นไม่เหมาะสมแห่งพฤติการณ์คดี  ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ(1) (3) ให้จำคุก 4 ปี แต่คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้จำคุก 3 ปี
      
      
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเนื่องจากวันนี้จำเลยไม่มาฟังคำพิพากษา ดังนั้นศาลจึงให้ออกหมายจับเพื่อมารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป