"ดีเอสไอ-อัยการ" ชี้"สมเด็จช่วง"ครอบครองเบนซ์โบราณ ผิด พ.ร.บ.สรรพสามิต

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

ดีเอสไอ - อัยยการ ประชุมตรวจสำนวนคดีรถเบนซ์โบราณ ขม 99 ชี้รถจดประกอบเสียภาษีไม่ครบ ผู้ครอบครองผิดมาตรา161 พ.ร.บ. สรรพสามิต พร้อมสั่งเอาผิดผู้เกี่ยวข้องเพิ่มอีก 2 ราย
         

วันนี้ (28 ก.ค.)  ผูสื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค และอัยการสำนักการสอบสวน ได้ประชุมคณะพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบหลักฐานในสำนวนคดีและพิจารณาความผิดของกลุ่มผู้ครอบครองรถยนต์ยี่ห้อ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ชำระภาษีไม่ครบถ้วน
         

ต่อมา เมื่อเวลา 16.30 น. ภายหลังการประชุม  กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจงผลการประชุม ว่า  ตามที่ดีเอสไอได้สืบสวนสอบสวน กรณีการครอบครองรถยนต์ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนอุปกรณ์รถเก่า (รถจดประกอบ) ของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ โดยที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับไปแล้ว ประกอบด้วย. 1. นายเกษมศักดิ์ ภวังคนันท์ ข้อหา " ร่วมกันลักลอบหนีศุลกากรหรือซื้อหรือรับไว้ ด้วยประการใดๆ ซึ่งของหนีภาษีศุลกากร " ตาม มาตรา 27 และ มาตรา 27 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ประกอบ มาตรา 16 และมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
         

2. นายเมธีนันท์ หรือ ชลัช นิติฐิติวงษ์ ข้อหา " ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีสรรพสามิต " ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 มาตรา 267 และ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 มาตรา 165  3. นายสมนึก บุญประไพ ข้อหา " ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ร่วมกันปลอมเอกสารหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม " ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 มาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 267 มาตรา 268 ประกอบมาตรา 83
         

นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันว่า คดีมีพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนรับฟังได้อีกว่า มีนายพิชัย วีระสิทธิกุล และนายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับนายเกษมศักดิ์ ภวังคนันท์ ในความผิดตาม   ข้อ 1) ด้วย ส่วนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ขม 99กรุงเทพมหานคร มีการชำระภาษีสรรพสามิตไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ สำหรับผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว (สมเด็จช่วง) ที่เสียภาษีไม่ครบถ้วน จะมีความผิดตามมาตรา 161 (1) พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ ซึ่งดีเอสไอและพนักงานอัยการจะได้พิจารณาดำเนินการเรียกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
         

ส่วนในเรื่องเกี่ยวกับการประเมินภาษีเพิ่มเติมทางกรมสรรพสามิตได้พิจารณาดำเนินการแล้ว ขณะนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษอยู่ระหว่างรอแจ้งผลการดำเนินการ จากกรมสรรพสามิต หากการดำเนินการมีความคืบหน้าเป็นประการใดจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยเร็ว
         

ด้าน  พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ  เปิดเผยว่า สำหรับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  ซึ่งมีชื่อครอบครองรถยนต์เบนซ์จดประกอบเลี่ยงภาษีนั้น  พนักงานสอบสวนยังต้องรอการประเมินภาษีจากกรมสรรพสามิตว่า ภาษีที่ชำระไว้ไม่ครบถ้วนเป็นเงินจำนวนเท่าไร และใครมีหน้าที่ต้องชำระภาษีบ้าง จากนั้นพนักงานสอบสวนจะได้พิจารณาดำเนินการในทางคดีต่อไป